ในที่สุด Facebook ก็ได้เปิดตัว “Facebook Thailand” หรือ “สำนักงานเฟซบุ๊คในประเทศไทย” อย่างเป็นทางการแล้ว นับเป็นการปักหมุดว่าต่อไปนี้ Facebook จะมีตัวแทนและพนักงานที่ดูแลประเทศไทยอย่างเป็นทางการแล้ว
ด้วยสถิติผู้ใช้รายเดือนมากกว่า 34 ล้านคนและรายวัน 24 ล้านคน ซึ่งเท่ากับจำนวนคนที่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ในประเทศไทย และจำนวนการใช้งาน Facebook เฉลี่ยวันละ 2.5 ชั่วโมง แซงตัวเลขของการใช้เวลาในการชมโทรทัศน์ไปเรียบร้อยแล้วกว่า 1.5 เท่า และยังเป็นตัวเลขที่สูงกว่าการใช้งานเฉลี่ยของคนทั่วโลกอีกด้วย โดยมีจำนวนผู้ใช้รวมเป็นอันดับ 9 ของโลก และมีการโพสต่อวันสูงกว่าคนทั่วโลกถึง 3 เท่านั้น นับได้ว่า Facebook ได้กลายเป็นส่วนสำคัญที่ขาดไม่ได้ของคนไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
จริงๆหากเราดูสถิติการใช้งาน Facebook ในประเทศไทยแล้ว คงไม่ต้องแปลกใจว่ายักษ์ใหญ่รายนี้จะมีการบุกเข้ามาในประเทศเราอย่างเป็นทางการ โดยมีการแบ่งทีมงานดูแลทั้งทางบริษัทเอเยนซี่โฆษณา และที่น่าสนใจคือมีทีมงานฝั่งดูแลบริษัทธุรกิจขนาดเล็กและขนาดย่อม (Small Medium Business) อย่างเต็มตัวอีกด้วย
ซึ่งนับเป็นเรื่องที่ตอกย้ำความสำคัญและสะท้อนกระแสการขายของผ่านเพจ Facebook ที่ทำให้เกิดร้านค้าออนไลน์ยอดขายระดับแสนบาทล้านล้านบาทมาหลายพันรายแล้ว โดยภายในงานมีการสัมภาษณ์ร้านดังอย่างเพจ “เจคิว ปูม้านึ่ง” ที่ยอดขายทะลุ 200 ล้านบาทไปแล้วเมื่อปีที่แล้ว
Facebook ได้มีการเปิดเผยว่า กว่า 70% ของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในประเทศไทย มีบัญชี Facebook Page แล้วอย่างน้อย 1 บัญชี เป็นจำนวน 1.16 ล้านบัญชี เทียบกับทั่วโลกที่มีอยู่ 45 ล้านบัญชีธุรกิจ
ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจเพราะแปลว่าธุรกิจในประเทศไทยใช้วิธีการสร้าง Facebook Page เพื่อสร้างตัวตนในโลกดิจิตอลมากกว่าที่จะสร้างเว็บไซท์เป็นของตนเอง เพราะการสร้าง Facebook Page นั้นสามารถสร้างได้ภายในไม่กี่นาที พร้อมระบุที่อยู่ ปักหมุดทำเลที่ตั้ง และเพิ่มข้อมูลข่าวสารล่าสุดเกี่ยวกับบริษัทได้ในทันที แถมมีช่องทางสื่อสารอย่าง Messenger ที่มีจำนวนคนใช้ตามทันรายใหญ่อย่าง LINE หรือ WhatsApp ที่ทาง Facebook เองก็ได้ทำการซื้อเข้ามาเป็นของตนเองเรียบร้อยแล้ว
จะเห็นว่าทาง Facebook เองในตอนนี้ได้มีการซื้อแอพที่มีจำนวนผู้ใช้จำนวนมากทั่วโลกอย่าง Instagram และ WhatsApp เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท พร้อมแตกแอพย่อยที่มีการใช้งานสูงอย่าง Facebook Messenger และ Facebook Groups ออกมาเรียบร้อยแล้ว จนกลายเป็นบริษัทที่มีแอพที่มีจำนวนผู้ใช้ทั่วโลกสูงที่สุดในโลก เพราะไม่ว่าจะเป็น Facebook, Messenger, Groups, WhatsApp, หรือ Instagram ล้วนแล้วต่างก็มีจำนวนบัญชีผู้ใช้รายวันไม่ต่ำกว่า 300 ล้านคนทั่วโลก โดยทางแอพ Facebook หลักเองก็มีจำนวนบัญชีผู้ใช้รายเดือน 1.5 พันล้านคนไปเรียบร้อยแล้ว นับเป็นจำนวนทุกๆ 1 ใน 5 คนของคนในโลกนี้เลยทีเดียว ส่วน Instagram มี 300 ล้าน Facebook Messenger 700 ล้าน Facebook Groups 850 ล้าน และทาง WhatsApp มี 900 ล้านตามลำดับ
หลังจากที่ได้ทำการควบรวมธุรกิจมาหลายปี ในตอนนี้ทาง Facebook เองก็ได้เริ่มมีการเปิดโอกาสให้เหล่าบรรดาธุรกิจสามารถใช้เทคโนโลยีของตนเองมาสร้างประโยชน์ในแอพตัวอื่นของตนเองอย่าง Instagram โดยเรียบร้อยแล้ว โดยมีการเปิดให้ธุรกิจสามารถลงโฆษณาใน Instagram ที่มีผู้ใช้ในประเทศไทยอยู่ที่ 7.1 ล้านคนได้แล้วผ่านระบบการลงโฆษณาของ Facebook Ads Manager ซึ่งแปลว่าเหล่าบรรดาธุรกิจต่างๆสามารถลงโฆษณาได้ทั้งใน Facebook และ Instagram ผ่านเครื่องมือเครื่องมือเดียวกัน โดยโฆษณาเหล่านั้นจะสามารถถูกกเพื่อพาไปยังที่อื่นๆนอกแอพได้เลย ต่างจากการฝากลงโฆษณาผ่านบัญชีผู้ใช้ที่มีคนตามสูงๆหรือเหล่า Influencers ที่ไม่ได้สามารถมีลิ้งค์เพื่อกดไปที่อื่นได้
นอกจากนี้ ทาง Facebook Messenger เองก็ได้ทำการเปิดระบบของตนเองให้เหล่าบรรดานักพัฒนาได้ทำการเชื่อมต่อเพื่อใช้ในทางธุรกิจเรียบร้อยแล้ว และด้วยนโยบายการเปิดระบบให้เหล่านักพัฒนาสามารถนำเครื่องมือของตนเองไปเชื่อมต่อ ก็น่าจะมีอัตราการเติบโตในวงกว้างกว่าทางคู่แข่งที่นิยมพัฒนาด้วยตนเองอีกด้วย
สำหรับประเทศไทยที่มีการคาดการณ์จากสมาคมโฆษณาดิจิตอล (ประเทศไทย) ว่าในปีนี้จะมีงบโฆษณาดิจิตอลแตะยอด 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งนับเป็นการโตกว่า 60% แล้วนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ Facebook จะทำการเร่งเปิดตัวก่อนที่จะมีสำนักงานทางกายภาพที่เสร็จสมบูรณ์ โดยปัจจุบัน Facebook ถือส่วนแบ่งโฆษณาก้อนนั้นไปแล้วกว่า 21%
เหตุผลที่ Facebook สามารถคว้าส่วนแบ่งโฆษณามาได้จำนวนมากนั้นไม่ใช่เพียงเพราะมีส่วนแบ่งในการใช้งานของผู้ใช้จำนวนมากต่อวันเท่านะเน แต่ยังมีจุดเด่นในการที่เป็นช่องทางจำนวนน้อยที่สามารถมีโฆษณาที่เข้าถึงผู้ใช้สมาร์ทโฟน (Mobile Advertising) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในประเทศไทยมีการใช้งานผ่านโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนกว่า 97% สูงกว่าสถิติเฉลี่ยโลกที่อยู่ที่ 84% รวมไปถึง Instagram ที่เป็นแอพแบ่งปันรูปภาพที่มีจำนวนผู้ใช้เยอะที่สุดในโลกอีกด้วย
นอกจากนี้ ทั้งทาง Facebook และ Instagram ก็ได้ทำการเปิดตัว Facebook Video และ Instagram Video เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งกลายเป็นช่องทางใหม่ที่นักโฆษณาจะสามารถดึงดูดผู้ใช้ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะทาง Facebook ที่ไม่มีการจำกัดความยาวของวิดีโอและสามารถชมได้ในคุณภาพระดับ “HD” ไม่แพ้กับทางคู่แข่งอย่าง YouTube
ทั้งนี้การโฆษณาผ่าน Facebook กับ Instagram ไม่ว่าจะด้วยโฆษณาแบบ Display Ads หรือ Facebook Video นั้นสามารถสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งทางโฆษณาทาง Google Search และ YouTube ของ Google ได้โดยการเสนอว่าเป็นโฆษณาที่คนเจอด้วยการ “Discovery” หรือค้นพบ มากกว่า “Intention” หรือการ “ตั้งใจ” แบบ Google และ YouTube ที่ส่วนใหญ่แล้วจะผ่านการ Search โดยมีกรณีศึกษาเรื่องตัวอย่างภาพยนตร์ที่ทำการโฆษณาผ่านช่องทางอื่นว่ามีจำนวนการชม 18 ล้านครั้งภายใน 2 วัน แต่ทาง Facebook มีการชมถึง 100 ล้านครั้งภายในช่วงเวลาเดียวกัน จึงเรียกได้ว่า หากต้องการความเร็วมากกว่าความสามารถในการค้นพบได้ในระยะยาวแล้ว ช่องทาง Facebook จะเป็นช่องทางที่น่าสนใจและมีอัตราการแชร์ที่สูงกว่าคู่แข่งพอสมควร
Facebook ได้มีการประกาศไว้ว่า พันธกิจของตนเอง คือการเชื่อมโยงทุกคนจากทั่วโลกเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะผ่านจากแอพ Facebook เอง หรือผ่านแอพอื่นๆอย่าง Instagram, WhatsApp และการที่ทาง Facebook เข้ามาเปิดสำนักงานในประเทศไทย ก็เป็นการสานต่อพันธกิจเหล่านั้น
ทั้งนี้ Facebook ได้กล่าวไว้ว่า คำขวัญภายในบริษัทของเขาในตอนนี้คือ “Our work is 1% finished.”
การที่บริษัทที่มีจำนวนผู้ใช้งานเยอะที่สุดในโลกจะพูดอย่างนี้ น่าสนใจว่าภายหน้านี้จะมีอะไรออกมาเป็นส่วนหนึ่งในการใช้ชีวิตของเราอีกในอนาคตนะครับ
แต่เชื่อว่าอย่างน้อยที่สุด ธุรกิจที่ทำการค้าขายอยู่บน Facebook Page คงจะได้เห็นการพัฒนาทั้งทางด้านความสามารถและการสนับสนุนจากทางทีมงานให้สามารถเข้าถึง พูดคุย และนำเสนอสินค้าและบริการต่างๆของร้านค้าได้ดียิ่งขึ้นแน่นอนครับ
–-
เลอทัด ศุภดิลก
@lertad
lertad@sellsuki.com