|||

The New Disuptive Technologies: 2018 & Beyond

ในช่วงเวลา 20 ปีที่ผ่านมา เราได้เห็นธุรกิจเกิดใหม่ที่เติบโตอย่างรวดเร็วจนมีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตของเราทุกคนผ่านการเติบโตของเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตที่ทำให้เราสามารถส่งข้อมูลข่าวสารผ่านเสียง รูปภาพ และข้อความได้อย่างรวดเร็ว และเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ที่สามารถทำงานได้เร็วขึ้นโดยมีต้นทุนในการผลิตที่ถูกลงจนทำให้คนในโลกนี้สามารถใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตได้อย่างทั่วถึงผ่านอุปกรณ์สมาร์ทโฟน

ในช่วงแรกเราได้เห็นการเติบโตของผู้ผลิต ฮาร์ดแวร์ อย่าง Microsoft, Dell, HP, IBM, Sony ในฐานะผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ มาจนถึงยุคสมาร์ทโฟนที่ทาง Apple ในฐานะผู้ผลิต iPhone และ Google กับ Samsung ในฐานะผู้ร่วมผลิตโทรศัพท์บนระบบปฏิบัติการ Android เป็นผู้นำ

เมื่อเวลาผ่านไป คอมพิวเตอร์ขนาดพกพาที่สามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตได้เหล่านี้ก็ได้กลายเป็น Platform” หรือ ช่องทาง ใหม่ให้เหล่านักพัฒนา ซอฟท์แวร์ ผลิต แอปพลิเคชัน” เพื่อเพิ่มความสามารถในการใช้งานตัวโทรศัพท์ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต จนเกิดทำให้บริษัทซอฟท์แวร์อย่าง Amazon, Google, Facebook, Alibaba, Tencent สามารถสร้างแอปพลิเคชันให้บริการกับผู้บริโภคจนเติบโตใหญ่กว่าบริษัทที่เป็นผู้ผลิตสิ่งที่จับต้องได้อย่าง “ฮาร์ดแวร์” ในตอนแรกไปเรียบร้อย

รูปภาพจาก businessnet.co.za

รูปภาพจาก businessnet.co.za

โดยบริษัทซอฟท์แวร์กลุ่มนี้ มีจุดร่วมกันตรงที่การเกาะกระแสเทรนด์ E-commerce” และ “SoLoMo” หรือ Social”, Location”, และ Mobile” จนเติบโตเป็นบริษัทใหญ่ที่สุดในโลและก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งวิธีการดำเนินชัวิต และวิธีการทำธุรกรรมแบบที่เคยมีอยู่ จนถูกเรียกได้ว่าเป็น Disruptive Technologies” และได้กลายเป็น Platform” ในการกำเนิดธุรกิจใหม่ๆไปในตัวอีกด้วย

เทคโนโลยีถัดไปที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงคลื่นลูกใหม่จะมีอะไรบ้าง บทความนี้ จะลองคาดเดากันครับ

Internet of Things - เหตุผลที่เทรนด์อุปกรณ์ติดอินเทอร์เน็ตจะเปลี่ยนแปลงชีวิตเรา

หลังจากยุค Cloud” ที่กล่าวถึงการที่ซอฟท์แวร์จะทำการย้ายจากการทำงานบนเซิฟเวอร์หรือคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ ไปสู่การรวมศูนย์เซิฟเวอร์ไว้ในที่เดียวกันแล้วให้ผู้ใช้ทั่วไปใช้งานผ่านการเชื่อมต่อทางอินเทอร์เน็ตแทนนั้น ก็เข้าสู่ยุค Internet of Things” ที่เป็นการพูดถึงการทำให้อุปกรณ์รอบกายเราสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและมีคอมพิวเตอร์ติดตัวได้อีกด้วย

Internet of Things” ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เราเริ่มเห็นสัญญาณการเป็นรูปเป็นร่างของมันผ่านการลองผิดลองถูกของ Startup กลุ่มใหม่ๆ อย่างเช่น กล้องรักษาความปลอดภัยที่ผู้ใช้สามารถใช้แอปพลิเคชันเข้ามาดูภาพและฟังเสียงได้ตลอดเวลา พร้อมรับรู้และเตือนอัตโนมัติเวลามีอะไรผิดปกติเข้ามาอยู่ในภาพ เครื่องชั่งน้ำหนักที่คอยเก็บและวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักและสุขภาพของเรา ไฟบ้านที่สามารถเปิดปิดอัตโนมัติตามการตั้งเวลาหรือการเข้าออกบ้านของเรา หรือลำโพงอัจฉริยะที่มีผู้ช่วยส่วนตัวคอยรายงานข่าวหรือควบคุมอุปกรณ์อื่นๆในบ้านที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตอีกที เป็นต้น

รูปภาพจาก Allhomerobotics.com

รูปภาพจาก Allhomerobotics.com

เรากำลังได้เห็นการลองผิดลองถูกของ Internet of Things ในอัตราที่ก้าวกระโดด เพราะชิปคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กลงจนเรามีโทรศัพท์สมาร์ทโฟนในปัจจุบัน ก็ได้มีขนาดเล็กลงอยู่เรื่อยๆจนสามารถนำไปใส่ในอุปกรณ์ได้เกือบทุกสิ่งรอบตัวเรา พร้อมเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตไว้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งหมายความว่าอุปกรณ์ทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเรา ก็จะสามารถมี ซอฟท์แวร์ เพื่อเก็บข้อมูลและต่อยอดการใช้งานได้เหมือนกัน

อาจเรียกได้ว่า เรากำลังมีแพตฟอร์มใหม่สำหรับ ซอฟท์แวร์ ยุคถัดไป

Self-driving cars - เมื่อรถยนต์ขับเคลื่อนได้ด้วยตนเอง

หนึ่งใน ฮารด์แวร์ หรือ สิ่งที่จับต้องได้ ที่มีลักษณะของ Internet of Things” ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อเรามากที่สุดก็คือ รถยนต์ขับเคลื่อนด้วยตนเอง หรือ Self-driving cars” ที่ใช้ความสามารถของกล้องและเซ็นเซอร์ยุคใหม่ พิกัดบนแผนที่ดิจิตอล ประกอบกับซอฟท์แวร์สมองกล เพื่อควบคุมรถยนต์จากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งด้วยตนเอง

เทรนด์ของรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยตนเองอาจดูเป็นเรื่องไกลตัว แต่แท้จริงแล้วมันได้ถูกทดสอบการใช้งานแล้วในบางพื้นที่ที่สหรัฐฯอเมริกา รวมไปถึงการใช้งานจริงในรถสิบล้อที่ใช้ในการขนส่งสินค้าระหว่างรัฐฯในสหรัฐฯอเมริกาและมณฑลต่างๆในประเทศจีน โดยจะมีคนนั่งอยู่ในรถเพื่อเตรียมพร้อมขับหากอุปกรณ์ซอฟท์แวร์มีปัญหา

จากการทดสอบ แม้พึ่งทดสอบได้ด้วยจำนวนไม่สูง แต่พบว่ารถยนต์เหล่านี้กลับมีอัตราอุบัติเหตุที่น้อยกว่าการขับรถด้วยตนเอง พร้อมทั้งทำให้ผู้โดยสารไม่เหนื่อย ไม่เครียด และสามารถทำอย่างอื่นได้หากรถยนต์ได้รับการไว้วางใจให้ขับเคลื่อนได้ด้วยตนเองอย่างเต็มตัวซึ่งด้วยความที่รถยนต์เหล่านี้เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตอยู่ตลอดเวลา ก็ทำให้รถสามารถพัฒนาการควบคุมและการใช้งานผ่านการ อัพเดท ผ่านอินเทอร์เน็ตได้ ต่างจากรถยนต์สมัยก่อนที่ซื้อแล้วเป็นอย่างไร ก็จะเป็นอย่างนั้นตลอดไป

รูปภาพจาก Tesla

รูปภาพจาก Tesla

สิ่งที่น่าสนใจก็คือ หากรถยนต์ในอนาคตต่างควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อด้วยอินเทอร์เน็ตได้ 100% แล้ว จะเป็นไปได้ไหมที่มนุษย์ไม่จำเป็นต้องมีรถยนต์อีกต่อไปอย่างแท้จริง แต่มีรถวิ่งอยู่บนถนนตลอดเวลา พร้อมให้สามารถถูกเรียกผ่านแอปพลิเคชันการใช้งานได้โดยไม่ต้องรอ รวมไปถึงการลดปัญหาการรถติด เพราะสามารถควบคุมจราจรได้จากศูนย์กลาง รวมถึงการเร่งและลดความเร็วได้อย่างพร้อมเพรียงกัน

รถยนต์ขับเคลื่อนตนเองนั้นจึงไม่ใช่การปฏิวัติแค่เรื่องของรถยนต์ แต่เป็นเรื่องของการปฏิวัติระบบโลจิสติกส์ที่น่าสนใจไม่แพ้ไปกับ โดรน ที่เป็นข่าวเลย

AI ที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดด

AI หรือ Artificial Intelligence” หรือ สมองกล” ที่ใช้พูดถึงการคิดได้ด้วยตนเองของคอมพิวเตอร์นั้น กำลังได้รับการจับตามองในปัจจุบันเพราะความสามารถที่พัฒนาอย่างรวดเร็วผ่านเทคโนโลยีการเรียนรู้ใหม่ๆอย่าง “Deep Learning” หรือ Machine Learning” ที่ใช้ประโยชน์จากการพัฒนาการอย่างรวดเร็วของการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ให้สามารถเรียนรู้ข้อมูลในรูปแบบใหม่ที่ทำให้คอมพิวเตอร์สามารถเรีนยรู้และคาดการณ์ได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องใช้การเขียนโปรแกรมในลักษณะว่า ถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้นให้ทำสิ่งนี้ แต่เป็นการเขียนโปรแกรมสอนให้เรียนรู้อย่างไรแทน

จริงๆแล้ว AI ไม่ใช่สิ่งใหม่ ทุกสิ่งที่เรามักจะทำให้เราพูดว่าโปรแกรมมันฉลาดในปัจจุบันนั้นส่วนใหญ่แล้วมี AI อยู่เบื้องหลัง ไม่ว่าจะเป็นผลการค้นหาใน Google โฆษณาที่เราเห็นในแอปพลิเคชันหรือ Facebook ระบบแนะนำเพลง ผู้ช่วยอย่าง Siri การคำนวณระบบการอนุมัติเครดิต เรื่องพวกนี้เกิดอาศัยระบบ AI ทั้งหมด แต่วิวัฒนาการของคอมพิวเตอร์ที่รวดเร็วนี้เอง ที่ทำให้พัฒนาการของ AI เป็นไปอย่างรวดเร็ว และมีความสามารถในการทำสิ่งที่เคยต้องพึ่งพาอาศัยมนุษย์ได้มากขึ้นจนกระทบต่อความมั่นคงของแรงงานในหลายอุตสาหกรรม

ข้อมูลจาก McKinsey & Company

ข้อมูลจาก McKinsey & Company

AR/VR โลกเสมือน เปิดมิติประสบการณ์ใหม่ในโลกปัจจุบัน

เทคโนโลยี Augmented Reality และ Virtual Reality เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ทำให้เราสามารถมีประสบการณ์ผ่านหน้าจอหรือโลกภายนอกในรูปแบบใหม่ ทั้งเทคโนโลยี Virtual Reality ที่ทำให้เราไปอยู่ในที่อื่นๆร่วมกับคนอื่นได้โดยไม่ต้องเดินทาง และ Augmented Reality ที่เป็นการนำภาพดิจิตอลมาวางไว้บนโลกภายนอกผ่านเลนส์สมาร์ทโฟนหรือแว่นที่สวม ทำให้เราสามารถทำงานหรือเห็นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เราเห็นอยู่ได้อย่างรวดเร็ว

สำหรับสองเทคโนโลยีนี้ Augmented Reality มีแนวโน้มว่าจะสามารถเป็นเทคโนโลยีที่ “Disruptive” หรือก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้มากกว่า เพราะสามารถใช้งานกับการทำงานในปัจจุบันของเรา และได้รับการสนับสนุนจากทั้งทาง Microsoft ผ่าน HoloLens และ Apple ผ่าน ARKit ที่ฝังอยู่ใน iPhone รุ่นใหม่ๆโดยเรียบร้อยแล้ว

รูปภาพจาก Microsoft

รูปภาพจาก Microsoft

Blockchain เทคโนโลยีเบื้องหลัง Bitcoin, Ethereum, และบรรดา Cryptocurrencies

เทคโนโลยีที่ได้รับการจับตามากที่สุดในตอนนี้หนีไม่พ้นเหล่า สกุลเงินดิจิตอล ที่มี Bitcoin” เป็นหัวเรือที่ดังที่สุด ในความสามารถที่จะมาทดแทนวิถีการทำธุรกรรมทางการเงินบนโครงสร้างเดิม ที่มีโครงสร้างและต้นทุนที่ยังช้าและแพงอยู่สำหรับยุคดิจิตอล และอยู๋บนพื้นฐานของภาครัฐที่กุมอำนาจไว้ ซึ่งหากสกุลเงินดิจิตอลยุคใหม่เป็นของประชาชนและถูก “decentralized” หรือ กระจายอำนาจ แบบไม่มีผู้ควบคุมหลักรายเดียวได้จริง ก็จะเป็นการสร้างการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันมากที่สุดเลยทีเดียว

ทั้งนี้ เทคโนโลยีที่ทำให้สกุลเงินดิจิตอลในปัจจุบันเกิดได้นั้น คือเทคโนโลยี Blockchain” ที่อธิบายได้อย่างง่ายที่สุดได้ว่าเป็นเทคโนโลยีการเก็บบันทึกข้อมูลที่อาศัยการกระจายการเก็บและรักษาความน่าเชื่อถือของข้อมูลผ่านจำนวนคอมพิเวตอร์และระบบบันทึกหลายๆเครื่องจนไม่สามารถถูกแฮคได้ ทำให้สกุลเงินดิจิตอลนั้นสามารถมีความน่าเชื่อถือและมีการโอนกันได้ ต่างจากไฟล์ดิจิตอลอื่นๆที่เป็นการทำซ้ำมากกว่าใช้งาน เช่น เวลาเราส่งไฟล์เพลงให้เพื่อน เราก็จะยังมีไฟล์เพลงนั้นอยู่ เป็นต้น

จะเห็นว่า เทคโนโลยี Blockchain นั้น สามารถนำไปใช้กับอุตสาหกรรมอื่นๆที่มีเรื่องของความน่าเชื่อถือของข้อมูลเป็นสำคัญ และเราจะเห็นการนำมาใช้ของมันในอุตสาหกรรมใหม่ๆในอนาคตอย่างแน่นอน

ผู้คุมอำนาจ Disruptive Technology ใหม่ อนาคตประเทศไทย และ Startup

ในประเทศไทยเองที่ธุรกิจดิจิตอลสามารถเติบโตได้เพราะเทรนด์ของสมาร์ทโฟนนั้น ก็ทำให้เกิดแอปพลิเคชันยุคใหม่อย่าง Facebook, LINE, Instagram, Uber, Grab ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเกิดมาจากเงินทุนต่างชาติจำนวนมาก แต่ก็ทำให้พื้นที่ที่บริษัทเกิดใหม่จะพอเข้ามาทำธุรกิจได้ก็เหลือน้อยลงเต็มที

ธุรกิจที่ทางบริษัทในประเทศไทยเองยังจะสามารถป้องกันไว้ได้น่าจะหนีไม่พ้นธุรกิจที่มีกฏหมายเฉพาะอย่างเช่นประกัน การเงิน เป็นต้น คล้ายกับที่ทางประเทศจีนป้องกันการแพร่หลยาของแอปพลิเคชันและบริการซอฟท์แวร์จากสหรัฐฯอเมริกาด้วยการปิดประเทศทั้งทางกายภาพและทางสารสนเทศ จนกว่าประเทศตนเองจะสามารถพัฒนาบริการซอฟท์แวร์ใกล้เคียงในแก่นธุรกิจดิจิตอลสำคัญๆอย่าง อีคอมเมิร์ซ การสื่อสาร และการเงิน อย่างเช่น อาลีบาบา และ วีแชท หรือแม้กระทั่งการผลิตโทรศัพท์สมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์เป็นของตนเอง อย่างแบรนด์ Xiaomi, Vivo, Oppo, Lenovo เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม แม้เราจะเห็น Disruptive Technology และ Platform ใหม่ๆอย่าง Blockchain, Cryptocurrency, AR/VR, AI, หรือ Self-driving Car และ Internet of Things เกิดขึ้นแล้ว แต่สิ่งที่น่าติดตามคือเทคโนโลยีเหล่านี้ จะอยู่ในมือของ Startup หน้าใหม่ หรือกลุ่มบริษัทเทคโนโลยี ยุคใหม่ กลุ่มเดิมอย่าง Google, Facebook, Amazon, Microsoft, Alibaba, Salesforce ฯลฯ ที่สามารถเกิดและเติบโตขึ้นมาครองบัลลังก์บริษัทที่มีมูลค่าเยอะที่สุดในโลกได้ เพราะในขณะที่บริษัทดังกล่าวใช้ประโยชน์จากความสามารถในการทำซ้ำของซอฟท์แวร์ และความเชี่ยวชาญในเรื่องของเทคโนโลยียุคใหม่ที่บริษัทกลุ่มเดิมไม่มี กลุ่มเทคโนโลยีคลื่นใหม่นี้ยังสามารถใช้ความเชี่ยวชาญเดิมของบริษัทซอฟท์แวร์ดังกล่าวได้ พร้อมจำเป็นต้องมีเงินลงทุนในการผลิตในกรณีของฮาร์ดแวร์ หรือข้อมมูลมหาศาลเพื่อใช้ประโยชน์จากมันในกรณีของ AI และ Self-driving car จะมีเพียงแต่การลงทุนจากกลุ่มนักลงทุน หรือ เทคโนโลยีที่ใหม่ไปเลยอย่าง Blockchain ที่ดูมีโอกาสที่จะทำให้เกิดบริษัทหน้าใหม่มาท้าทายกลุ่มบริษัทเดิมได้มากที่สุดเท่านั้น

สำหรับประเทศไทยที่แท้จริงแล้วก็มีนักพัฒนาซอฟท์แวร์เก่งๆที่มีประสบการณ์จากต่างประเทศกลับมาอาศัยอยู่มากขึ้น และการตั้งถิ่นฐานบุกตลาดของบริษัทเทคโนโลยีต่างประเทศ เป็นที่น่าจับตาว่าจะสามารถมีสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยให้เกิดบริษัทซอฟท์แวร์ไทยที่จะสามารถต่อกรกับบริษัทต่างชาติได้เพียงใดครับ

–-

เลอทัด ศุภดิลก

กรรมการผู้จัดการ บริษัท เซลสุกิ จำกัด

www.sellsuki.co.th

Up next การปรับกลยุทธ์ครั้งยิ่งใหญ่ ครั้งใหม่ของ Facebook “Fintech” คืออะไร? ตอนที่ 1 - M-Pesa ตัวอย่างความสำเร็จของระบบการเงินดิจิตอล
Latest posts GDPR คืออะไร และส่งผลกระทบอะไรต่อธุรกิจ “Fintech” คืออะไร? ตอนที่ 1 - M-Pesa ตัวอย่างความสำเร็จของระบบการเงินดิจิตอล The New Disuptive Technologies: 2018 & Beyond การปรับกลยุทธ์ครั้งยิ่งใหญ่ ครั้งใหม่ของ Facebook Startup Tech Trends 2018 - เมื่อเทรนด์ 2017 จะแพร่หลายในปี 2018 “HQ Trivia” - The Future of TV เกมฮิตใหม่ที่อาจเป็นตัวอย่างของรายการทีวีในอนาคต Facebook Ads vs. Google Ads การต่อสู้ระหว่าง “Search” กับ “Discovery” Just Jack - Annabel’s Dilemma Bitcoin คืออะไร และทำไมมันถึงได้รับความสนใจ วิธีเริ่มต้นแบบเล็กๆของเหล่า Startup Unicorn มูลค่าพันล้าน The Fundamentals of AI - Machine Learning, Neural Network, Deep Learning - พื้นฐานแนวคิดของ “AI” ในยุคปัจจุบัน The WeChat Economy - มองเทรนด์ “Tech Startup” อนาคต จากการใช้ “WeChat” ในประเทศจีน การพลิกโฉม ”วิธีการซื้อ″ ด้วยนวัตกรรมจาก Amazon - How Amazon is Re-inventing How We Buy AliPay - เครื่องมือครองโลกของ Jack Ma ที่คุณอาจคาดไม่ถึง - Jack Ma’s Strategy to Conquer the World ทิศทางการเติบโตของ ”ห้างออนไลน์″ ในประเทศไทย - The Future of Marketplaces in Thailand Digital Transformation : จากการบริโภค Product สู่ Service Fast Growing Silicon Valley Startups 2017 - เทรนด์ Startup จาก Silicon Valley ที่จะมาแรงในปี 2017 การปฏิวัติข่าวสารจากยุค Google สู่ Facebook Status Seekers เมื่อผู้บริโภคต้องการ “สถานะ” มากยิ่งกว่า “การแก้ปัญหา” The Different Types of Conversational Commerce Online to Offline 31 The Future of Apps Pirate Metrics for Startups (AARRR) The Rise of Chat Bots E-commerce Delivery in Thailand Conversational Commerce Solar Energy Startups Facebook Thailand Startup = การเติบโตที่รวดเร็ว (Growth) Startup Investment The Future of Messaging