|||

Startup Investment

ในปัจจุบันเราจะเริ่มได้ยินข่าวว่ามีบริษัท สตาร์ทอัพ ไทยหลายรายที่ได้รับเงินลงทุนไป ไม่ว่าจะเป็น Claim Di ที่พึ่งได้รับเงินลงทุนระดับ Series A” ไป $2,000,000 เหรียญสหรัฐฯหลังจากระดมทุนรอบ Seed” ไปเมื่อปี พศ. 2557 หรือ Omise ที่ได้ Series A” เช่นเดียวกันที่ $2,600,000 เหรียญสหรัฐ หลังจากที่ระดมทุนไป $300,000 เหรียญสหรัฐในระดับ Seed” เมื่อปี พศ. 2557 เช่นเดียวกัน หรือ Pomelo ที่เรียกรอบการลงทุน $1.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯของตนเองว่าเป็นรอบ Pre-Series A

จะเห็นว่าการระดมทุนของกลุ่ม Tech Starup นี้ จะมีการแบ่งรอบเป็นชื่อต่างๆ ซึ่งโดยปกติแล้วจะเรียกกันว่า Angel Round”, Seed Round”, และ Series A” ไปจนถึง “Series B”, Series C”

Thailand Tech Startup Ecosystem โดยเว็บไซท์ TechSauce.co

การแบ่งรอบต่างๆนี้ เป็นการแบ่งทั้งตามปริมาณเงินที่ลงทุน และระดับการเติบโตของบริษัท โดยช่วงแรกซึ่งเป็นระดับการเติบโตที่ผู้ประกอบการต้องดิ้นรนหาเงินหาทุนก้อนแรกมาใช้นั้น เรียกกันว่าช่วง Seed” หรือที่แปลว่าเมล็ดพันธุ์ ซึ่งหมายถึงการที่ธุรกิจกำลังพึ่งถูกปลูกและบ่มเพาะ นั่นเอง โดยปกติแล้ว Seed Round ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉัยงใต้นี้ จะเป็นรอบการลงทุนในช่วง $250,000 ถึง $500,000 เพื่อแลกกับหุ้นประมาณ 15%-30% เพื่อให้บริษัทสามารถมีพนักงงานและทุนในการค้นหาตลาดของตนเองและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ชัดเจนขึ้น โดยคนที่ลงทุนนั้นจะมีสองรูปแบบคือ กองทุน Venture Capital” ที่มีนโยบายลงทุนในบริษัทในรอบนี้ ซึ่งมีความเสี่ยงสูงกว่าบริษัทที่โตกว่านี้ แต่ก็เป็นก้อนการลงทุนที่ต่ำกว่า โดยปกติมักจะลงก้อนละประมาณ $100,000-$250,000 เหรียญสหรัฐฯ และนักลงทุนอีกรูปแบบหนึ่งที่ลงในรอบนี้ก็คือ Angel Investor” หรือนักลงทุนอิสระที่เอาทุนส่วนตัวมาลง ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ที่ประมาณ $50,000 เหรียญสหรัฐฯต่อบริษัท ซึ่งบางครั้ง บริษัทบางบริษัทที่ต้องการเงินลงทุนตั้งแต่ยังไม่มีอะไรเลย อาจขอเงินลงทุนจาก Angel Investor ในปริมาณ $20,000-$50,000 เหรียญสหรัฐฯ เพื่อแลกกับหุ้น 5%-10% มาเพื่อเริ่มต้นบริษัท จนเกิดเป็น Angel Round” ก่อนที่จะมี Seed Round”

โดยเหตุผลที่เรียกว่า Angel Investor” นั้น เนื่องจากนักลงทุนเหล่านี้ มีบทบาทในการช่วยเหลือ พยุงธุรกิจให้รอดหรือพัฒนาตามศักยภาพของตนเองได้สำเร็จนั่นเอง สำหรับผู้ประกอบการที่ได้รับการช่วยเหลือแล้ว ผู้ลงทุนเหล่านั้นจึงมีบทบาทต่อตนเองคล้ายๆกับเทวดาหรือนางฟ้าที่ลงมาช่วยนั่นเอง

นักลงทุนเหล่านี้แต่เดิมมักจะเป็นนักธุรกิจหรือนักบริหารที่เกษียณแล้ว แต่ในปัจจุบันมักครอบคลุมไปถึงกลุ่มผู้ประกอบการ Startup ที่ประสบความสำเร็จแล้ว ซึ่งสามารถช่วยเหลือผู้ประกอบการได้ทั้งในเรื่องของลงทุน ความรู้ ประสบการณ์ และเครือข่ายธุรกิจที่ตนเองมี โดยสิ่งที่ผู้ลงทุนจะได้รับ นอกเหนือจากความพอใจในการได้ช่วยเหลือนักธุรกิจรุ่นใหม่แล้ว แน่นอนว่ายังได้รับผลตอบแทนเป็นรูปแบบต่างๆจำพวก หุ้นในบริษัท ซึ่งจะสามารถให้ผลตอบแทนเป็นตัวเงินกลับมาได้ในอนาคตในกรณีที่บริษัทประสบความสำเร็จ ทั้งในด้านการปันผล การที่บริษัทได้เข้าตลาดหุ้น ทำให้มูลค่าหุ้นสูงขึ้นเป็นทวีคูณ หรือการที่บริษัทถูกบริษัทที่ใหญ่กว่าซื้อไปโดยการซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นทุกคน เป็นต้น

ส่วนการลงทุนแบบ Venture Capital” นี้ เป็นการลงทุนจากกองทุนหรือบริษัท ผ่านการรวบรวมเงินลงทุนมาจากผู้ลงทุนอื่นๆอีกที ซึ่งจะถูกเรียกว่าเป็น LP หรือ Limited Partner” ของกองทุนนั้นๆ อีกทีหนึ่ง ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ลงทุนที่มีทุนหนา และต้องการเครื่องมือการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนสูงกว่าเพียงการเล่นหุ้น

สำหรับการลงทุนในรอบถัดไปนั้น เรียกว่ารอบ Series A” ซึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใจ้มักมีปริมาณอยู่ที่ $1,000,000-$5,000,000 เหรียญสหรัฐฯ เพื่อแลกกับหุ้นประมาณ 25%-35% โดยบริษัทที่ระดมทุนในรอบนี้เป็นบริษัทที่ค้นพบตลาดที่ตนเองถนัด และมีผลิตภัณฑ์ที่นิ่งแล้ว มีการระดมทุนไปเพื่อใช้ในการค้นหาการเติบโตและการขยายตลาดให้มีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการเติบโตในตลาดของตนเอง หรือต่างประเทศก็ตาม ซึ่งเงินลงทุนรอบนี้ ส่วนใหญ่แล้วจะมาจากกองทุน Venture Capital” ล้วนๆ โดยหากมี Angel Investor สนใจลงด้วย ก็มักที่จะไม่ได้มีอำนาจใดๆในการเจรจาเงื่อนไขการลงทุน หรือมีหน้าที่ใดๆในบริษัท

สำหรับรอบถัดไปจากนี้ มักจะเป็นการไล่ตัวอักษรไปเรื่อยๆ เช่น Series B, Series C, ฯลฯ โดยมักจะเป็นการลงทุนเพื่อขยายตลาดเป็นหลัก ไม่ได้มีความแน่นอนในผลิตภัณฑ์เหมือนรอบ Seed Round หรือความไม่แน่นอนในวิธีการเติบโตเหมือนในรอบ Series A โดยปริมาณเงินและปริมาณห้นนั้นมักจะอยู่ที่กลไกตลาดการลงทุนล้วนๆ เพราะแต่ละบริษัทมีการเติบโตที่ไม่เหมือนกัน ต้องการเงินไม่เท่ากัน และมีนักลงทุนแข่งกันลงไม่เท่ากัน

เพราะฉะนั้น ในหลายๆครั้งเราจึงจะเห็นได้ว่า บริษัทบางบริษัท โดยเฉพาะบริษัทที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีดิจิตอล ดูเหมือนไม่มี Business Model ไม่มีแหล่งรายได้ที่ชัดเจน แต่กลับดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง และมีการขยายกิจการ เพิ่มจำนวนลูกค้าหรือผู้ใช้ได้เป็นอย่างดี ซึ่งมันเป็นเพราะเขามีเงินลงทุนมาตั้งแต่ Angel Investment แล้ว โดยผู้ลงทุนมองว่า รอให้บริษัทโตก่อน แล้วค่อยหาทางหาเงิน (“monetize) เมื่อมีจำนวนผู้ใช้หรือลูกค้าอยู่ในระดับที่จะทำให้ทำได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว โดยหากจะยกตัวอย่างก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องของ Facebook ที่หากได้ดูภาพยนตร์เรื่อง The Social Network จะเห็นได้ว่า ในระยะแรกไม่มีวิธีการหาเงินเลย และจงใจที่จะยังไม่มีโฆษณา เพื่อดึงให้มีผู้ใช้อยู่ในระดับที่เหมาะสมก่อน แล้วจึงหาทางคิดค่าโฆษณาในภายหลัง โดยคิดค่าโฆษณาต่อหัวเป็นจำนวนน้อยๆ แต่เมื่อรวมกันแล้วกลับเป็นจำนวนมหาศาล

ทั้งนี้ กับมามองในแง่ของการที่ผู้ประกอบการจะได้รับความช่วยเหลือมากกว่าเพียงเรื่องของเงินนั้น ทำให้บางทีก้อนเงินที่ผู้ลงทุนจำเป็นต้องลงนั้นอาจไม่เยอะเมื่อเทียบกับการลงทุนในรูปแบบอื่น โดยเฉพาะหากผู้ลงทุนเป็นผู้มีชื่อเสียงที่จะช่วยทำให้บริษัทที่ได้รับการลงทุนได้รับความยอมรับมากขึ้นจากโลกภายนอกนั่นเอง

จะเห็นว่า เมื่อมีการลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพมากขึ้นเรื่อยๆ ย่อมมีโอกาสที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในแวดวงธุรกิจได้มากยิ่งขึ้น จากการที่บริษัทเกิดใหม่สามารถใช้เงินทุนเพื่อเติบโตได้อย่างรวดเร็วก่อนที่ตนเองจะมีรายได้พอที่จะกู้ธนาคารด้วยซ้ำ เรียกได้ว่า ต่อให้เราไม่ได้ประกอบกิจการสตาร์ทอัพ แต่ก็จะถูกกระทบได้ไม่รู้ตัวครับ

เลอทัด ศุภดิลก

Twitter: @lertad

Email: lertad@sellsuki.com

Up next The Future of Messaging Startup = การเติบโตที่รวดเร็ว (Growth)
Latest posts GDPR คืออะไร และส่งผลกระทบอะไรต่อธุรกิจ “Fintech” คืออะไร? ตอนที่ 1 - M-Pesa ตัวอย่างความสำเร็จของระบบการเงินดิจิตอล The New Disuptive Technologies: 2018 & Beyond การปรับกลยุทธ์ครั้งยิ่งใหญ่ ครั้งใหม่ของ Facebook Startup Tech Trends 2018 - เมื่อเทรนด์ 2017 จะแพร่หลายในปี 2018 “HQ Trivia” - The Future of TV เกมฮิตใหม่ที่อาจเป็นตัวอย่างของรายการทีวีในอนาคต Facebook Ads vs. Google Ads การต่อสู้ระหว่าง “Search” กับ “Discovery” Just Jack - Annabel’s Dilemma Bitcoin คืออะไร และทำไมมันถึงได้รับความสนใจ วิธีเริ่มต้นแบบเล็กๆของเหล่า Startup Unicorn มูลค่าพันล้าน The Fundamentals of AI - Machine Learning, Neural Network, Deep Learning - พื้นฐานแนวคิดของ “AI” ในยุคปัจจุบัน The WeChat Economy - มองเทรนด์ “Tech Startup” อนาคต จากการใช้ “WeChat” ในประเทศจีน การพลิกโฉม ”วิธีการซื้อ″ ด้วยนวัตกรรมจาก Amazon - How Amazon is Re-inventing How We Buy AliPay - เครื่องมือครองโลกของ Jack Ma ที่คุณอาจคาดไม่ถึง - Jack Ma’s Strategy to Conquer the World ทิศทางการเติบโตของ ”ห้างออนไลน์″ ในประเทศไทย - The Future of Marketplaces in Thailand Digital Transformation : จากการบริโภค Product สู่ Service Fast Growing Silicon Valley Startups 2017 - เทรนด์ Startup จาก Silicon Valley ที่จะมาแรงในปี 2017 การปฏิวัติข่าวสารจากยุค Google สู่ Facebook Status Seekers เมื่อผู้บริโภคต้องการ “สถานะ” มากยิ่งกว่า “การแก้ปัญหา” The Different Types of Conversational Commerce Online to Offline 31 The Future of Apps Pirate Metrics for Startups (AARRR) The Rise of Chat Bots E-commerce Delivery in Thailand Conversational Commerce Solar Energy Startups Facebook Thailand Startup = การเติบโตที่รวดเร็ว (Growth) Startup Investment The Future of Messaging