|||

Startup = การเติบโตที่รวดเร็ว (Growth)

Startup” คืออะไร และแตกต่างจาก SME อย่างไร?

ทุกวันนี้คำว่า Startup” ได้เกิดขึ้นและพุ่งแรงในประเทศไทยจนกลายเป็นธุรกิจกระแสสำหรับคนรุ่นใหม่ และไม่ว่าใครที่เริ่มทำธุรกิจเทคโนโลยีก็ต่างเรียกตัวเองหรือถูกเรียกว่าเป็น Startup”

แต่แท้จริงแล้ว เคยสงสัยกันไหมว่า สรุปแล้ว… Startup คืออะไร?” และทำไมจะต้องมีศัพท์บัญญัติธุรกิจนี้ขึ้นมาแทนนคำว่า SME

ทำไมเว็บค้าขายออนไลน์บางที่ถูกเรียกว่าเป็น Startup” ทั้งๆที่มันก็ดูเป็นเหมือนเว็บขายของออนไลน์ธรรมดาๆ แล้วบริษัทเกิดใหม่ทุกบริษัทมันคือ Startup” เหมือนกันหมดหรือไม่ เพราะคำว่า Startup” แปลตรงตัวก็น่าจะแปลว่า ธุรกิจเกิดใหม่” ไม่ใช่หรือ?

สำหรับผมแล้วที่ติดตามธุรกิจเทคโนโลยีมาตั้งแต่เด็ก จริงๆแล้วก็ใช้เวลาศึกษาคำว่า “Startup” มาหลายปีเหมือนกัน จนได้มาประกอบธุรกิจของตนเองทั้งแบบที่คิดว่าเป็น SME และ แบบที่ตั้งใจไว้ว่าจะเป็น Startup” นั้น ผมคิดว่าคำนิยาม Startup” ที่ดีที่สุดนั้นมาจากนาย Paul Graham จากศูนย์บ่มเพาะ Y Combinator ที่เป็นศูนย์บ่มเพาะชื่อดัง Top 5 ของโลกในสหรัฐอเมริกา ที่ได้เขียนไว้ในบทความไว้ว่า Startup = Growth” หรือ “การเติบโต นั่นเอง โดย Startup ที่ดี จะต้อง โตเร็ว

Startup vs. SME

ธุรกิจ Startup คือธุรกิจที่ถูกออกแบบมาให้เติบโตอย่างรวดเร็วมาตั้งแต่แรก ตั้งแต่ทีมงาน โครงสร้างธุรกิจ ไปจนถึงวิธีการใช้เงิน และการทำตลาด โดยไม่ได้เกี่ยวข้องว่าจะต้องเป็นธุรกิจที่เป็น ธุรกิจเทคโนโลยี หรือได้รับการลงทุน หรือ “Venture Capital” หรือมีการ Exit” ผ่านการควบกิจการหรือการเข้าตลาดหุ้นแต่อย่างใด

ในขณะที่ธุรกิจ SME (Small Medium Enterprises) หรือที่สมัยนี้มักเรียกว่า SMB” (Small Medium Businesses) นั้นมักจะมีเป้าการดำเนินการธุรกิจให้มีรายได้เติบโตอยู่ที่ประมาณปีละ 30%-50% หรือหากเป็นช่วงเกิดใหม่ก็อาจอยู่ที่ปีละ 100%-200% เป็นอย่างมาก ธุรกิจ Startup นั้นมีเป้าหมายที่จะเติบโตขึ้นให้ได้อย่างน้อยปีละ 1,000% โดยหากได้น้อยกว่านั้น ถือว่าธุรกิจ Startup นั้น ยังไม่โต หรืออาจถึงขั้น ไปไม่รอด ในฐานะ Startup ก็ว่าได้

ดังนั้น ไม่ใช่ว่าธุรกิจทุกประเภทที่จะเป็น Startup” ได้ ยกตัวอย่างเช่นธุรกิจบริการอย่างเช่นร้านอาหาร ธุรกิจสปา หรือช่างซ่อมอุปกรณ์ไฟฟ้า ที่มีข้อจำกัดในการเติบโตอย่างรวดเร็ว เพราะต่อให้ร้านอาหารได้รับความนิยมเพียงใด หรือช่างที่มีฝีมือจะเป็นที่ต้องการแค่ไหน ธุรกิจเหล่านั้นก็จะมีข้อจำกัดทางด้านกายภาพที่ยากที่จะเอาชนะได้อย่างสถานที่ตั้ง และพื้นที่ที่สามารถให้บริการและทำตลาดได้

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ใช่ว่าธุรกิจดังกล่าวนั้นจะไม่ใช่ธุรกิจที่ดีแต่อย่างใด เพราะการทำธุรกิจแบบ “กำไร = ต้นทุน ตามที่กล่าวมานั้นก็คือการทำธุรกิจแบบที่มีมาแต่ช้านาน ที่สร้างนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ และมีฐานะแบบไม่ต้องพึ่งพาอาศัยใครมาตลอดเวลาที่ผ่านมา และเป็นวิธีการทำธุรกิจแบบ SME ที่เราคุ้นเคย

Paul Graham ได้อธิบายไว้เพิ่มเติมว่า ธุรกิจที่จะสามารถเป็น Startup ที่ประสบความสำเร็จได้นั้น จะต้องมีคุณสมบัติสองอย่างคือ 1) เป็นธุรกิจที่นำเสนอในสิ่งที่เป็นที่ต้องการในตลาดที่มีขนาดใหญ่ และ 2) มีความสามารถในการเข้าถึงตลาดที่ใหญ่นั้นได้

SME ที่ประสบความสำเร็จนั้น ส่วนใหญ่นั้นมีความสามารถในการสร้างสิ่งที่คนจำนวนมากต้องการได้ แต่ไม่ได้มีทรัพยากรหรือความสามารถในการที่จะทำตลาด ขาย และจัดจำหน่ายสิ่งที่ตัวเองสร้างให้คนทั้งกลุ่มนั้นได้เสมอไป ยกตัวอย่างเช่น ร้านเฟอร์นิเจอร์ร้่านหนึ่ง อาจมีความสามารถในการออกแบบสินค้าที่คนจำนวนมากในโลกนี้ชอบและต้องการใช้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนทั่วโลกนั้นจะเดินทางมาหาร้านเฟอร์นิเจอร์ร้านนี้เพื่อทำการซื้อไปใช้ที่บ้าน หรือต่อให้เป็นเช่นนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าร้านเฟอร์นิเจอร์นี้ จะมีความสามารถในการผลิตสินค้าได้ทันเท่ากับความต้องการของคนทั่วโลกได้อย่างตลอดเวลา

แต่เมื่อโลกเราเข้ายุคของอินเทอร์เน็ตที่มีความสามารถในการเข้าถึงคนหมู่มากได้ในเวลาอันรวดเร็ว ด้วยต้นทุนที่ต่ำเมื่อเทียบกับการทำธุรกิจในสมัยก่อนนั้น ทำให้เกิด โอกาสทางธุรกิจ และ “ผู้ประกอบการ” ที่มีความกระหายที่จะใช้ประโยชน์ของช่องทางใหม่นี้ในการเข้าถึงคนให้กว้างขึ้นและเร็วขึ้น และมีโอกาสที่จะทำได้ทั้งเรื่องของ 1) สร้างสิ่งที่คนจำนวนมากต้องการ และ 2) จัดจำหน่ายมันให้ทั่วถึงคนเหล่านั้น เพราะสิ่งที่นำเสนอนั้นอาศัยอยู่บนอินเทอร์เน็ตแล้วโดยทุนเดิม

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการทำธุรกิจเทคโนโลยีโดยอาศัยการเขียนโปรแกรมหรือซอฟท์แวร์ที่อาศัยและจัดจำหน่ายผ่านอินเทอร์เน็ตและสมาร์ทโฟนจะเป็นการแก้ไขปัญหาเรื่องของการจัดจำหน่ายได้ดี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าธุรกิจเทคโนโลยีทุกตัวนั้นจะเป็น Startup ยกตัวอย่างเช่น เว็บชุมชนออนไลน์สำหรับคนรักกิ้งก่าในประเทศไทย อาจจะสามารถเข้าถึงคนรักกิ้งก่าในประเทศไทยได้ทั้งหมด แต่อาจไม่ใช่ขนาดตลาดที่จะสามารถเติบโตเป็น 1,000% ต่อปีได้อย่างต่อเนื่องจนมีมูลค่าหลายพันล้านบาท

แต่ข้อดีของอินเทอร์เน็คที่เปิดโอกาสให้คนจำนวนมากขึ้นสามารถเข้าถึงคนได้มากขึ้นนั้น ก็ย่อมหมายความว่ามีคนแย่งชิงตลาดกับเรามากขึ้น ยิ่งตลาดใหญ่เท่าไหร่ ยิ่งมีคนแย่งเรามากขึ้นเท่านั้น และเราก็จะต้องทำการแข่งขันกับธุรกิจเหล่านั้นทั้งหมด ต่างจากธุรกิจแบบ SME แบบดั้งเดิม ที่อาจจะต้องแข่งกับร้านค้าที่ตั้งร้านอยู่ทำเลที่ใกล้เคียงกันเท่านั้นเอง

นี่จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ Startup ต้องโตเร็ว

การ สร้างธุรกิจเพื่อรองรับการโตเร็วนั้น อาศัยวิธีคิดในการทำธุรกิจที่ไม่ได้มีสอนในหลักสูตรบริหารธุรกิจที่ไหน และต้องอาศัยเครื่องมือทางการเงินและการบริหารองค์กรที่แตกต่างจากธุรกิจ SME แบบที่เคยมีมา นี่จึงเป็นเหตุผลที่ก่อให้เกิดวงการนักลงทุน ที่เข้ามาให้ทุนกับบริษัท Startup เพื่อหวังผลตอบแทนในอัตรา 50-100 เท่าของการลงทุน เพราะรับความเสี่ยงสูงจากการให้ทุนหลายสิบล้านบาท ต่างจากธนาคารที่ไม่มีวันแม้แต่จะปล่อยกู้ให้กับธุรกิจที่ยังแทบไม่มีลูกค้าหรือรายได้เป็นของตนเอง

และเมื่อเครื่องมืออำนวยการเติบโตเหล่านี้มีความพร้อมมากขึ้น จากสมัยก่อนที่อาจใช้เวลา 20-30 ปีในการสร้างธุรกิจมูลค่าพันล้าน ในปัจจุบัน มีบริษัทเกิดใหม่ที่สามารถสร้างมูลค่าได้เร็วขึ้นว่าที่เคยมีมา โดยใช้เวลาเพียง 10, 5, หรือ 2 ปีในบางกรณีด้วยซ้ำ

../../../../Downloads/temp/overcrowded-unicorns-v2.compressed_32120.pdf

ข้อมูลจากเว็บไซท์ inc.com

Startup = โตไว้ก่อน

อีกนิยามของ Startup ที่เข้ากับยุคสมัยที่ การเติบโต สำคัญกว่า รายได้ นั้นเป็นของนาย Dave McClure จาก 500 Startups ที่เป็นทั้งคู่แข่ง และเพื่อนของ Y Combinator ของนาย Paul Graham และติดอันดับ Top 5 ของโลกเช่นเดียวกัน และมีนโยบายการลงทุนท่ีแตกต่างจากที่อื่น ทั้งในเรื่องผลตอบแทน และสัญชาติของบริษัทที่ลงทุน ดั่งที่เห็นการที่เขาเข้ามาให้ความสำคัญกับบริษัทในประเทศไทย และตั้งกองทุน 500 Tuk Tuk” ขึ้นมา โดยปัจจุบัน 500 Startups ได้ลงทุนในบริษัทเกือบเท่าตัวจากเดิมที่ตั้งใจตั้งชื่อไว้ว่า “500 ให้มันดูเยอะๆไว้ตอนต้นไปเรียบร้อยแล้ว

นาย Dave McClure ได้นิยามบริษัท Startup” ไว้ใกล้เคียงกับความหมายของคำว่า “ธุรกิจเกิดใหม่ ในทางภาษาศาสตร์ไว้ โดยเขาบอกว่า Startup” คือบริษัทที่กำลังสับสนว่า 1) ผลิตภัณฑ์ของตนเองคืออะไร 2) ลูกค้าเป็นใคร และ 3) สามารถหารายได้ได้อย่างไร และทันทีที่บริษัทใดสามารถตอบคำถามได้ทั้ง 3 ข้ออย่างมีกำไร แล้ว บริษัทนั้นจะสิ้นสุดสภาพความเป็น Startup” และกลายเป็น ธุรกิจจริงๆ

Startup ส่วนใหญ่นั้นเลือกที่จะสร้าง ผู้ใช้ ก่อนที่จะหา รายได้” เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขัน และทรัพยากรในการที่จะ หารายได้ ทีหลัง โดยมองว่าการหารายได้ในตอนแรก อาจะเป็นอุปสรรคในการเติบโต ในเมื่อเราอยู่ในสภาพที่ต่างบริษัทต่างมีความสามารถในการเข้าหาทุน จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องหารายได้ในตอนแรกหากมันหารายได้แล้วจะมีคู่แข่งมาชิงตัดหน้าด้วยการปล่อยสินค้าและบริการฟรี

ในแง่นี้เอง ที่ทำให้บริษัท SME บางราย อาจถูกผลกระทบจาก Startup” ได้เต็มๆ

Startup = Community
แล้วทำไมถึงจะต้องแยกระหว่าง Startup” กับ SME”?

สำหรับผมแล้ว มันเป็นเรื่องของ Community” หรือ ชุมชน

Startup นั้นมักไม่ได้ใช้เครื่องมือการเติบโตเดียวกับ SME จึงต้องอาศัยทั้งองค์ความรู้ และเครือข่ายที่แตกต่างไปจากธุรกิจเดิมๆ เมื่อเราเข้าสู่ชุมชน Startup ไม่ว่าจะเป็นจากการอ่านสื่อในต่างประเทศ หรือเข้าสู่ชุมชนในประเทศไทยผ่านกิจกรรมต่างๆที่จัดโดย Hubba หรือสมาคม Thailand Tech Startups Association แล้ว เราจะได้เจอภาษาและผู้คนที่มีวิธีคิดแตกต่างออกไป

การทำความเข้าใจว่า Startup คืออะไรนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะมันคือวิธีคิด ตัวตน และเป้าหมายในการทำงานของธุรกิจของคุณนั่นเองครับ

ย้ำอีกครั้งนะครับ ว่าธุรกิจ Startup” นั้นคือธุรกิจที่ โตเร็ว แต่ไม่ได้หมายความว่าธุรกิจ SME นั้น ไม่โต

มีธุรกิจหลายๆธุรกิจ ที่สามารถอยู่ได้โดยไม่จำเป็นต้องเป็น Startup” และคนหลายคนที่ไม่เหมาะที่จะประกอบธุรกิจแบบ Startup” และสามารถเติบโตและใช้ชีวิคอย่างมีความสุขได้มากกว่าผู้ประกอบการ Startup” ส่วนใหญ่ด้วยซ้ำ

แต่สำหรับคนที่รู้ว่า Startup” คือวิธีของคุณ

ยินดีต้อนรับเข้าสู่วงการและชุมชนแห่งนี้นะครับ

–-

เลอทัด ศุภดิลก

@lertad

lertad@sellsuki.com

Up next Startup Investment Facebook Thailand ในที่สุด Facebook ก็ได้เปิดตัว “Facebook Thailand” หรือ “สำนักงานเฟซบุ๊คในประเทศไทย” อย่างเป็นทางการแล้ว นับเป็นการปักหมุดว่าต่อไปนี้ Facebook
Latest posts GDPR คืออะไร และส่งผลกระทบอะไรต่อธุรกิจ “Fintech” คืออะไร? ตอนที่ 1 - M-Pesa ตัวอย่างความสำเร็จของระบบการเงินดิจิตอล The New Disuptive Technologies: 2018 & Beyond การปรับกลยุทธ์ครั้งยิ่งใหญ่ ครั้งใหม่ของ Facebook Startup Tech Trends 2018 - เมื่อเทรนด์ 2017 จะแพร่หลายในปี 2018 “HQ Trivia” - The Future of TV เกมฮิตใหม่ที่อาจเป็นตัวอย่างของรายการทีวีในอนาคต Facebook Ads vs. Google Ads การต่อสู้ระหว่าง “Search” กับ “Discovery” Just Jack - Annabel’s Dilemma Bitcoin คืออะไร และทำไมมันถึงได้รับความสนใจ วิธีเริ่มต้นแบบเล็กๆของเหล่า Startup Unicorn มูลค่าพันล้าน The Fundamentals of AI - Machine Learning, Neural Network, Deep Learning - พื้นฐานแนวคิดของ “AI” ในยุคปัจจุบัน The WeChat Economy - มองเทรนด์ “Tech Startup” อนาคต จากการใช้ “WeChat” ในประเทศจีน การพลิกโฉม ”วิธีการซื้อ″ ด้วยนวัตกรรมจาก Amazon - How Amazon is Re-inventing How We Buy AliPay - เครื่องมือครองโลกของ Jack Ma ที่คุณอาจคาดไม่ถึง - Jack Ma’s Strategy to Conquer the World ทิศทางการเติบโตของ ”ห้างออนไลน์″ ในประเทศไทย - The Future of Marketplaces in Thailand Digital Transformation : จากการบริโภค Product สู่ Service Fast Growing Silicon Valley Startups 2017 - เทรนด์ Startup จาก Silicon Valley ที่จะมาแรงในปี 2017 การปฏิวัติข่าวสารจากยุค Google สู่ Facebook Status Seekers เมื่อผู้บริโภคต้องการ “สถานะ” มากยิ่งกว่า “การแก้ปัญหา” The Different Types of Conversational Commerce Online to Offline 31 The Future of Apps Pirate Metrics for Startups (AARRR) The Rise of Chat Bots E-commerce Delivery in Thailand Conversational Commerce Solar Energy Startups Facebook Thailand Startup = การเติบโตที่รวดเร็ว (Growth) Startup Investment The Future of Messaging