|||

Fintech” คืออะไร? ตอนที่ 1 - M-Pesa ตัวอย่างความสำเร็จของระบบการเงินดิจิตอล

Fintech” หรือ Financial Technology” เป็นตัวย่อที่ถูกใช้เรียกถึงบริษัท สตาร์ทอัพ” ที่นำเทคโลโยีมาใช้พัฒนาเครื่องมือทางการเงินใหม่ๆให้บุคคลหรือสถานบัน องค์กร สามารถประกอบธุรกรรม แลกเปลี่ยน หรือเข้าถึงเครื่องมือทางการเงินได้สะดวกยิ่งขึ้น และเป็นหนึ่งในคำยอดนิยมในปี คศ. 2017 จนถึง 2018 ที่ผ่านมาในการพูดถึงการเปลี่ยนแปลงของการให้บริการทางด้านการเงินจากบริษุทกลุ่มใหม่นี้ ที่มาท้าทายสถาบันการเงินโดยเฉพาะกลุ่มธนาคารที่ต่างต้องเตรียมตัวรับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการความสะดวกและรวดเร็วตามที่นาย บิล เกตส์ ผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ เคยกล่าวไว้ตั้งแต่ปี คศ. 1994 ว่า Banking is necessary, banks are not” หรือ การทำธุรกรรมทางการเงินเป็นเรื่องจำเป็น แต่การมีอยู่ของธนาคารไม่ใช่เรื่องจำเป็น” จนเราได้เห็นข่าวการวางแผนที่จะปรับลดจำนวนสาขาจากธนาคารชั้นนำ และการแข่งขันกันให้บริการทางการเงินด้วยเครื่องมือและแอปพลิเคชันใหม่ๆในข่าวทุกวันนี้

แต่เมื่อใดก็ตามที่มีกระแสของสังคม ย่อมมีกระแสต่อต้านในอีกทางว่าธนาคารจำเป็นที่จะต้องปรับตัวจริงๆไหม และสตาร์ทอัพสาย “Fintech” มันจะมาสร้างประโยชน์อะไรให้กับสังคมนอกจากทำให้ธนาคารที่เคยเป็นความมั่นคงของการเงินนั้นต้องสั่นคลอนโดยใช่เหตุได้อย่างไร

ในโอกาสนี้ ผมจึงอยากขอยกตัวอย่างผลกระทบและเรื่องราวความสำเร็จในการใช้เครื่องมือทางการเงิน “ยุคใหม่ ที่เกิดขึ้นมานานแล้วในประเทศต่างๆทั่วโลกที่เราอาจไม่เคยได้ยิน โดยเริ่มต้นที่เรื่องของการ เคลื่อนย้ายเงิน ระหว่างกัน หรือการ โอน และ ชำระ” นั่นเองครับ

M-Pesa - Case Study ความสำเร็จของ Fintech ที่สร้างความเสมอภาคให้กับประชาชน

หนึ่งใน Fintech” ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลกในการให้บริการทางการเงินผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่จนทำให้ประชาชนทั่วประเทศสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้อย่างเท่าเทียมกันนั้น อาจไม่ได้เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป เพราะมันเกิดขึ้นในทวีปแอปฟริกา และมันประสบความสำเร็จมาตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษที่ 2000 และ 2010 ก่อนยุคที่สมาร์ทโฟนจะได้รับการแพร่หลายด้วยซ้ำ

M-Pesa” คือชื่อของบริการทางการเงินที่ถูกก่อตั้งขึ้นในประเทศ Kenya และ Tanzania โดยมีบริษัท Vodafone เป็นเจ้าภาพในการให้บริการผ่านการร่วมมือกับภาครัฐและสถาบันทางการเงินหลายฝ่าย โดยเน้นให้บริการทางด้านการชำระเงิน การโอนเงิน และการให้บริการสืนเชื่อรายย่อย หรือ “microfinance” ผ่านระบบ SMS หรือ ระบบรับส่งข้อความ ผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่

ด้วยระบบ SMS ของ M-Pesa” นี้ ผู้ใช้สามารถใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ใดๆก็ได้ในการพิมพ์ส่งข้อความเพื่อโอนเงิน ถอนเงิน จ่ายค่าโทรศัพท์ ค่าน้ำ ค่าไฟ หรือธุรกรรมอื่นๆ กับเครือข่ายผู้ให้บริการทั่วประเทศ โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางไปที่สาขา หรือมีโทรศัพท์สมาร์ทโฟนราคาแพง

M-Pesa ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงโดยได้รับการใช้งานจากคนทั่วประเทศและกลายเป็นบริการทางการเงินที่ได้รับการใช้งานในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนามากที่สุดภายในปี 2010 และได้รับการใช้งานภายในประเทศอื่นอีกกว่า 10 ประเทศในทวีปแอฟริกา เอเชียใต้ และตะวันออกกลาง และเป็นต้นแบบของบริการในลักษณะเดียวกันอีกกว่า 80 บริการทั่วโลก ผ่านองค์กร Mobile Money for the Unbanked” หรือ MMU ที่ถูกก่อตั้งโดยสมาคม GSM Association ที่ประกอบไปด้วยบริษัทโทรคมนาคมและภาครัฐที่เกี่ยวข้องทั่วโลก

ความสำเร็จของ M-Pesa นั้นเกิดขึ้นได้จากการที่คนในประเทศ Kenya นั้นคล้ายกับประเทศไทยตรงที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้มีความสามารถในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตผ่านระบบสายโทรศัพท์ที่จำเป็นต้องมีเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะในการเข้าถึง โดยมีจำนวนคนใช้โทรศัพท์มือถืออยู่ที่ 17 ล้านคน เทียบกับจำนวนเบอร์โทรศัพท์บ้าน ที่มีอยู่แค่ 250,000 เบอร์ และในขณะเดียวกัน เกือบ 30% ของประชากรกลุ่มนี้ จำเป็นต้องรับรายได้ผ่านการโอนเงินจากบุคคลอื่นเป็นหลัก โดยจะต้องเดินทางไกลเพื่อไปทำธุรกรรมทางการเงินที่ธนาคาร ทำให้ M-Pesa สามารถเข้ามาแก้ปัญหาให้กับคนกลุ่มนี้ได้อย่างชัดเจน จนมีสถิติรายงานว่าความสำเร็จของ M-Pesa ทำให้ผู้ใช้มีประสิทธิภาพในการใช้เวลาและค่าใช้จ่ายมากขึ้น จนสามารถเพิ่มรายได้ครัวเรือนได้มากถึง 5-30%

สถิติและรูปภาพจาก Vodafone.com

ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Mobile Money” สำเร็จ

รูปภาพจาก Harvard Business School

ความสำเร็จของ M-Pesa นั้นไม่ได้เกิดขึ้นได้จากเพียงเพราะระบบที่เสถียร หรือแม้กระทั่งโอกาสและปัญหาที่ชัดเจน แต่เป็นเพราะภาครัฐฯให้ความร่วมมือ โดยในกรณีของ M-Pesa นั้น ได้มีการรายงานธนาคารแห่งชาติของประเทศ Kenya หรือ The Central Bank of Kenya ไม่ได้เพียงแค่อนุมัติให้ระบบ M-Pesa นี้เกิด แต่ยังช่วยผลักดันและมีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบอย่างใกล้ชิดภายใต้แนวคิดว่า ทดลองก่อน แล้วค่อยกำกับกฏหมายดูแล

การเข้ามามีส่วนร่วมในการทำความเข้าใจและวางระบบอย่างใกล้ชิด รวมถึงการสนับสนุนทางการตลาด ทำให้ทางธนาคารได้สามารถกำกับให้ M-Pesa วางระบบที่มีความปลอดภัยต่อประชาชนอย่างได้รับความร่วมมือ โดยเงินที่อยู่ในระบบ M-Pesa ทั้งหมดนั้น จะไม่ได้อยู่ภายใต้บัญชีของบริษัท Vodafone เอง แต่จะกระจายอยู่ตามธนาคารที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของภาครัฐฯและหน่วยงานที่ไม่แสวงหารายได้อีกที และผู้ใช้งานทั้งหมดจะต้องผ่านระบบ KYC หรือ Know Your Customer” ตามมาตรฐานของสถาบันการเงินด้วยการยื่นเอกสารยืนยันตัวตนเมื่อสมัคร และแสดงเอกสารทุกครั้งที่มีการถอนเงินอกจากระบบมาเป็นเงินสด ประกอบกับการนำโทรศัพท์มือถือที่ผูกกับระบบไว้ไปแสดงตัวพรอ้มๆกันอีกด้วย

สุดท้ายแล้ว ระบบของ M-Pesa ยังมีการจำกัดวงเงินการโอนไว้อยู่ที่ $500 เหรียญสหรัฐฯ นั้น เพื่อให้ระบบนี้เกิดขึ้นมาสำหรับให้กลุ่มผู้ใช้ทั่วไปโอนระหว่างกันเป็นหลัก โดยข้อจำกัดนี้จะเป็นตัวช่วยในการป้องกันการใช้ระบบ M-Pesa ในการฟอกเงินภายในตัว ดังนั้น แม้ว่าจำนวนการโอนผ่านระบบ M-Pesa นั้นจะมีจำนวนมากถึง 70-80% ของการโอนผ่านระบบอิเล็กทรอนิคส์ทั้งหมดในประเทศ Kenya ภายในสามปีหลังจากที่ M-Pesa เกิด แต่หากนับเป็นมูลค่าแล้วจะอยู่ที่เพียง 2.3% ของปริมาณเงินที่โอนผ่านระบบทั้งหมด ทำให้ระบบ M-Pesa มีความเสี่ยงในการทำให้ระบบการเงินทั้งหมดของประเทศสั่นคลอนน้อย แต่สร้างผลประโยชน์ให้กับประชาชนบุคคลธรรมดาเยอะ

ประโยชน์ต่อเนื่อง ทั้งความโปร่งใส สู่การชำระเงินในระบบดิจิตอล

ประโยชน์ของการทำธุรกรรมทางการเงินในระบบที่ไม่ต้องอาศัยการเคลื่อนย้ายทางกายภาพนั้น นอกจากประโยชน์ที่เห็นได้ชัดในทันทีในเรื่องของความสะดวกสบายและความรวดเร็วแล้ว ยังมีผลกระทบค้างเคียงในเรื่องของความโปร่งใสจากการที่ระบบดิจิตอลมีคคุณสมบัติในความสามารถในการติดตามประวัติการทำธุรกรรม ยกตัวอย่างเช่นระบบ Roshan ในประเทศ Aghanistan ที่มีต้นแบบมาจากระบบ M-Pesa ที่ทำให้ภาครัฐค้นพบการคอร์รัปชันในระบบการจ่ายเงินเดือนของตนเอง ว่ามีการยักยอกเงินจำนวนหนึ่งจากเงินเดือนและเบี้ยเลี่ยงที่ตำรวจควรได้รับ จนเมื่อตำรวจเริ่มได้รับเงินโดยตรงผ่านระบบดิจิตอลนี้แล้วถึงได้ทราบค่าตอบแทนที่แท้จริงของตนเอง

ในประเทศอินเดียเอง ก็มีการสนับสนุนจากภาครัฐฯอย่างสุดโต่งด้วยการประกาศการยกเลิกการใช้ธนบัตร 500 และ 1,000 รูปีของประเทศ ซึ่งเป็นธนบัตรมูลค่าสูงของประเทศ มีมูลค่าเทียบเท่าประมาณ 250 บาท และ 500 บาทไทย ตามลำดับ เพื่อเป็นมาตรการลดการคอร์รัปชัน เพราะทางประเทศมองว่าการฟอกเงิน โจรกรรม และคอร์รัปชันต่างๆนั้น จะมีการเคลื่อนย้ายการเงินผ่านเงินสดธนบัตรเหล่านี้เป็นหลัก โดยประกาศให้ประชาชนสามารถนำธนบัตรเหล่านี้มาแตกเป็นธนบัตรย่อยที่ธนาคาร หรือการแนะนำให้ใช้ระบบการเงินดิจิตอลที่มีอยู่ในประเทศให้หมด ซึ่งการทำเช่นนี้ จะทำให้รัฐบาลอินเดีย สามารถค้นพบบัญชีที่มีเงินเข้าจำนวนมากเป็นพิเศษ หรือการนำธนบัตรมาแลกกับธนาคารในจำนวนมากเป็นพิเศษ จนสามารถค้นพบผู้ต้องสงสัยที่มีทรัพย์สินเยอะผิดปกติอีกด้วย

นอกจากนี้ เมื่อผู้ใช้งานทำการโอนเงินผ่านระบบดิจิตอลอย่าง M-Pesa แล้ว หากผู้ใช้ต้องการถอนเงินออกมาเป็นเงินสด ก็สามารถนำโทรศัพท์มือถือของตนเองไปที่ร้านค้าตัวแทนที่ได้รับอนุมัติให้แลกเปลี่ยนเงินในระบบ M-Pesa มาเป็นเงินสดได้อย่างเป็นทางการ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ในเมื่อระบบมีการโอนเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิคส์แล้ว ทำให้ M-Pesa และเงินที่อยู่ในระบบ M-Pesa นั้น สามารถกลายเป็น เงินดิจิตอล หรือ Mobile Money” หรือ Digital Money” ที่อยู่ใน eWallet” ของ M-Pesa ไปในตัวได้ จนเกิดบริการออนไลน์ที่รับเงินดิจิตอลเหล่านี้ในการชำระ จนเกิดบริการชำระค่าน้ำค่าไฟ ซื้อสินค้าออนไลน์ และกลุ่ม Startup ต่างๆอีกมากมายที่นำระบบของ M-Pesa มาใช้ในการให้บริการของตนเอง คล้ายกับที่เราเห็นเกิดขึ้นในประเทศจีนตอนนี้ผ่านระบบ AliPay และ WeChat Pay ที่เกิดขึ้นมาจากการซื้อขายสินค้าออนไลน์ในกรณีของ AliPay และการโอนเงินระหว่างกันในกรณีของ WeChat Pay

ภาพวิธีการใช้งาน M-Pesa ในการชำระค่าบริการโดยนาย Chris Boit

ผลกระทบของ Fintech” ที่สร้างประโยชน์ให้กับประชาชน

จะเห็นว่า Fintech” นั้น เป็นเครื่องมือทางการเงินที่มีวิวัฒนาการมาเพื่อทำให้ธุรกรรมทางการเงินสะดวกขึ้นที่เกิดขึ้นมาแล้วหลายปี โดยใช้ประโยชน์ของพัฒนาการของระบบสารสนเทศในการนำส่งและรองรับความถูกต้องของข้อมูลมาเป็นประโยชน์ และไม่ได้จำเป็นจะต้องมาจากกลุ่ม สตาร์ทอัพ หรือบริษัทเกิดใหม่อย่างเดียว แต่จะมาจากภาครัฐฯหรือองค์กรใหญ่ก็เป็นได้

ในกรณีความสำเร็จของ M-Pesa นั้น ทำให้เกิดช่องทางการทำธุรกรรมทางการเงินที่ประชาชนในประเทศสามารถเข้าถึงได้อย่างแพร่หลาย โดยไม่จำกัดอยู่ที่ตำแหน่งที่ตั้งของธนาคาร หรืองบประมาณที่ผู้ใช้ต้องลงทุนในการเดินทางหรือซื้ออุปกรณ์ราคาแพง ทำให้ประชาชนเหล่านี้ สาารถรับรายได้ จ่ายค่าใช้จ่าย และเข้าถึงบริการทางการเงินเพื่อประกอบธุรกิจหรือหล่อเลี้ยงครอบครัว จนเกิดโอกาสและความเสมอภาคมากขึ้นในประเทศ

แต่แน่นอนว่า ระบบธุรกรรมทางการเงินนั้น ไม่ได้มีเพียงแค่เรื่องของการเคลื่อนย้ายเงินระหว่างบุคคล ในตอนต่อไป เราจะมาติดตามการนำเทคโนโลยีมาก่อให้เกิดประโยชน์ทางด้านการเงินที่มีส่วนช่วยพัฒนาให้คุณภาพชีวิตคนทั่วไปดีขึ้นกันต่อๆไปครับ

–-

เลอทัด ศุภดิลก

กรรมการผู้จัดการ บริษัท เซลสุกิ จำกัด

www.sellsuki.co.th

Up next The New Disuptive Technologies: 2018 & Beyond GDPR คืออะไร และส่งผลกระทบอะไรต่อธุรกิจ ในวันที่ 25 พฤษภาคม 2561 ที่ผ่านมา กลุ่มประเทศในสหภาพยุโรปได้เริ่มบังคับใช้โครงสร้างกฏหมายที่มีชื่อว่า “General Data Protection Regulation”
Latest posts GDPR คืออะไร และส่งผลกระทบอะไรต่อธุรกิจ “Fintech” คืออะไร? ตอนที่ 1 - M-Pesa ตัวอย่างความสำเร็จของระบบการเงินดิจิตอล The New Disuptive Technologies: 2018 & Beyond การปรับกลยุทธ์ครั้งยิ่งใหญ่ ครั้งใหม่ของ Facebook Startup Tech Trends 2018 - เมื่อเทรนด์ 2017 จะแพร่หลายในปี 2018 “HQ Trivia” - The Future of TV เกมฮิตใหม่ที่อาจเป็นตัวอย่างของรายการทีวีในอนาคต Facebook Ads vs. Google Ads การต่อสู้ระหว่าง “Search” กับ “Discovery” Just Jack - Annabel’s Dilemma Bitcoin คืออะไร และทำไมมันถึงได้รับความสนใจ วิธีเริ่มต้นแบบเล็กๆของเหล่า Startup Unicorn มูลค่าพันล้าน The Fundamentals of AI - Machine Learning, Neural Network, Deep Learning - พื้นฐานแนวคิดของ “AI” ในยุคปัจจุบัน The WeChat Economy - มองเทรนด์ “Tech Startup” อนาคต จากการใช้ “WeChat” ในประเทศจีน การพลิกโฉม ”วิธีการซื้อ″ ด้วยนวัตกรรมจาก Amazon - How Amazon is Re-inventing How We Buy AliPay - เครื่องมือครองโลกของ Jack Ma ที่คุณอาจคาดไม่ถึง - Jack Ma’s Strategy to Conquer the World ทิศทางการเติบโตของ ”ห้างออนไลน์″ ในประเทศไทย - The Future of Marketplaces in Thailand Digital Transformation : จากการบริโภค Product สู่ Service Fast Growing Silicon Valley Startups 2017 - เทรนด์ Startup จาก Silicon Valley ที่จะมาแรงในปี 2017 การปฏิวัติข่าวสารจากยุค Google สู่ Facebook Status Seekers เมื่อผู้บริโภคต้องการ “สถานะ” มากยิ่งกว่า “การแก้ปัญหา” The Different Types of Conversational Commerce Online to Offline 31 The Future of Apps Pirate Metrics for Startups (AARRR) The Rise of Chat Bots E-commerce Delivery in Thailand Conversational Commerce Solar Energy Startups Facebook Thailand Startup = การเติบโตที่รวดเร็ว (Growth) Startup Investment The Future of Messaging