|||

ธุรกิจของคุณเป็นธุรกิจประเภทไหน (What’s Your Type of Business?)

คุณเคยคิดไหมครับว่าธุรกิจของคุณเป็นธุรกิจแบบไหน?

คำถามนี้ดูเป็นคำถามพื้นๆง่ายๆ แต่ผมกลับค้นพบว่ามันช่วยทำให้เข้าใจผู้ประกอบการและความเป็นอยู่ของธุรกิจที่ถามถึงได้เป็นอย่างดี เพราะ แบบ หรือ ประเภท” ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการจัดหมวดหมู่ว่าเป็นธุรกิจอุตสาหกรรมอะไรนะครับ แต่หมายถึงขนาด การเติบโต และเชื่อมโยงไปยังถึงเหตุผลว่าคุณทำธุรกิจทำไป เพื่ออะไร

เพื่อไม่ให้เป็นการงงไปมากกว่านี้ ผมขอเข้าเรื่องเลยว่า จากที่เมื่อก่อนเรามักจะมองว่าธุรกิจขนาดเล็ก เป็นเพียงธุรกิจที่มีขนาดเล็กทีค่อยๆโตไปเป็นขนาดใหญ่ แต่จริงๆแล้ว ไม่ใช่ทุกธุรกิจที่ต้องการที่จะโตกลายเป็นเหมือน ซีพี เซ็นทรัล หรือซัมซุง ทุกวันจึงเริ่มมีการมองเห็นและได้มีการจัดประเภทธุรกิจตามสไตลล์ ความต้องการ และเป้าหมายของผู้ประกอบหรือขนาดตลาดของธุรกิจได้ชัดเจนขึ้นแล้ว จึงอยากมาแบ่งปันศัพท์เรียกธุรกิจต่างๆมาให้ท่านผู้อ่นาทุกคนได้รู้จักกันครับ

  1. Lifestyle Business

คำภาษาไทยที่ใกล้เคียงกับความหมายของคำว่า Lifestyle Business” นั้นอาจจะเป็น “ธุรกิจเด็กแนว แต่คำว่า เด็กแนว ในไทยอาจจะดูไม่ไปในทางบวกนัก โดย Lifestyle Business” นั้นมักจะใช้บ่งบอกถึงธุรกิจประเภทที่สามารถหากำไรให้ผู้ประกอบการใช้ชีวิตอยู่อย่างระดับพอมีความสุขได้ โดยอาจจะเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เจ้าของกิจการต้องการทำอยู่แล้ว หรือเป็นธุรกิจที่สามารถหากำไรได้โดยไม่ต้องใช้เวลาในการทำมาก ยกตัวอย่างเช่น ครูสอนวาดรูป ที่อาจทำการสอนวาดรูปเพื่อให้ตัวเองมีเวลาวาดรูปมากขึ้น หรือนักปีนเขา ที่ทำธุรกิจพาคนทัวร์ป่าหรือปีนเขา หรือคนที่อยู่ตามตลาดนัดอินดี้หรือตลาดจตุจักร ซึ่งบางทีก็รวมไปถึงนักเล่นหุ้นที่เลือกที่จะอยู่บ้านเล่นหุ้นวันละไม่กี่ชั่วโมง ส่วนที่เหลือใช้ชีวิตหาอะไรอย่างอื่นทำ

คำศัพท์นี้ถูกบัญญัติขึ้นมาจากการเติบโตของอินเทอร์เน็ตที่เอื้ออำนวยให้คนสามารถทำธุรกิจได้ตั้งแต่การหาซื้อวัตถุดิบ จ้างพนักงาน บริหารงาน ไปจนการขายและส่งของ ผ่านคอมพิวเตอร์ที่บ้านอย่างเดียว ตลอดไปจนถึงทุกวันนี้ที่สามารถขายได้แม้กระทั่งธุรกิจบริการ เช่นการทเว็บไซท์ การออกแบบ หรือการทำธุรกรรมออนไลน์ ทำให้คนสามารถทำธุรกิจที่หารายได้ให้ตัวเองได้โดยไม่จำเป็นต้องทำงานบริษัทวันละหลายชั่วโมงได้ง่าย โดยเฉพาะชาวตะวันตกที่สามารถหารายได้จากตลาดที่ใหญ่ เพื่อมาใช้ค่าครองชีพในประเทศตะวันตกได้อย่างสุขสบาย

  1. Small Business

ธุรกิจประเภท Small Business” นั้น มีความหมายตรงตามชื่อนั่นก็คือ ธุรกิจขนาดย่อม” เพียงแต่ในทุกวันนี้ แทนที่จะใช้เรียกครอบคลุมธุรกิจหรือกิจการทุกที่ที่มีขนาดเล็กหรือขนาดย่อม แต่มักจะเรียกธุรกิจที่มีอยู่เพื่อหารายได้เลี้ยงดูตัวเองหรือครอบครัว มากกว่าที่จะมุ่งหวังเสริมสร้างกิจการให้ใหญ่โต ยกตัวอย่างเช่น ร้านตัดผม ร้านขายอาหาร ร้านซ่อมรองเท้า ช่างซ่อมอุปกรณ์ไฟฟ้า เป็นต้น ซึ่งเป็นธุรกิจที่อาจมีรายได้ตั้งแต่พออยู่ตัวไปจนหลายแสนหลายล้าน แต่ก็ไม่ใช่ธุรกิจระดับร้อยล้านพันล้าน

ธุรกิจพวกนี้มักจะไม่ได้มีโครงสร้างที่พร้อมที่จะโตมากนัก เช่น มักจะพึ่งผู้ประกอบการมากเกินไป หากไม่มีผู้ประกอบการแล้วจะไม่สามารถดำเนินงานได้ และมักจะพึ่งทุนที่ตัวเองสร้างได้ มากกว่าการกู้เงินจากธนาคารหรือสถานบันการเงินอื่นๆ

ในหลายๆครั้ง ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดย่อมนั้นต้องการที่จะโต แต่สร้างธุรกิจออกมาเป็นลักษณะ Small Business มากกว่าที่จะเป็น Scalable Business (ซึ่งจะพูดถึงในข้อถัดๆไป) จึงทำให้มีปัญหาในการโต เช่น การขยายสาขา และมักจะเข้าสู่วงจรของการคาดหวังให้ลูกเป็นทายาทรับช่วงต่อกิจการ ซึ่งหากทายาทต้องการและมีความสามารถก็ดีไป แต่หลายครั้งก็เป็นการบังคับและทำให้กิจการไปได้ไม่รอดเท่าที่ควรในที่สุด

อย่างไรก็ตาม แม้ธุรกิจขนาดเท่านี้จะไม่ได้รับการยกย่องจากสื่อ หรือเป็นที่รู้จักทั่วไป แต่ด้วยจำนวนธุรกิจ จำนวนงานที่สร้าง และรายได้ที่สร้างโดยรวมแล้ว ต้องนับว่าผู้ประกอบการเหล่านี้คือฮีโร่ที่แท้จริงยิ่งกว่าบริษัทใหญ่ๆที่เรารู้จักกัน

  1. Scalable Business

คำว่า Scalable” หรือ Scale” น่าจะเป็นคำที่ยากสำหรับคนไทยที่จะฟังแล้วเดาความหมายได้เลย แต่มันก็เป็นหนึ่งในคำที่ได้รับการใช้มากที่สุดในปัจจุบัน ซึ่ง Scale” ในที่นี้หมายถึง ระดับ โดย “Scalable” นั้นก็หมายถึงธุรกิจที่สามารถ ไต่ระดับ ได้นั่นเอง ดังนั้น คำว่า Scalable Business” จึงหมายถึงบริษัทที่ถูกสร้างมาเพื่อเน้น การเติบโต

การที่บริษัทจะถูกบ่งบอกว่าเป็นบริษัทที่มีความสามารถและศักยภาพในการเติบโตนั้นมีปัจจัยหลายอย่าง ตั้งแต่ประเภทธุรกิจและตลาดหลักของตัวบริษัทเอง จำนวนคู่แข่ง ความสามารถของทีมบริหาร รวมไปถึงโครงสร้างการบริหารงาน โดยสิ่งหนึ่งที่แตกต่างระหว่าง Small Business กับ Scalable Business อย่างชัดเจนนั้นคือ วิสัยทัศน์ และ ความต้องการ” ของผู้ประกอบการนั่นเอง เพราะเจ้าของกิจการกลุ่มนี้ไม่ได้ต้องการแค่ที่จะทำมาหากินเลี้ยงครอบครัว แต่ต้องการสร้างอะไรที่ยิ่งใหญ่ เป็นบริษัทระดับที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์เป็นต้น

  1. Social Business

ในปัจจุบันคงจะมีหลายคนได้ยินคำว่า Social Enterprise” หรือ ธุรกิจเพื่อสังคม” กันมากขึ้น ซึ่งแน่นอน จากชื่อของมันแล้ว มันคือธุรกิจที่ไม่ได้เน้น ยอดขายสูงสุด แต่เน้น “ประโยชน์เพื่อสังคม สูงสุด โดยความแตกต่างระหว่าง ธุรกิจเพื่อสังคม พวกนี้กับหน่วยงาน “Non-profit” จำพวก มูลนิธิ หรือ NGO นั้นก็คือ ธุรกิจพวกนี้มักจะเป็นธุรกิจที่จดทะเบียนแบบมีกำไรได้นั่นเอง

ตัวอย่างของการตั้งเป้าหมายของธุรกิจเป็นการ ทำเพื่อสังคม มากกว่าการ หากำไร” อาจเป็นเรื่องของการพยายามคิดนวัตกรรมเพื่อทำให้เด็กพิการสามารถเดินได้ หรือวาดเขียนได้ หรือการสร้างแพกักน้ำเพื่อช่วยเหลือการเกษตรให้หมู่บ้านต่างจังหวัด เป็นต้น

  1. Buyable Business

ในโลกทุกวันนี้มีธุรกิจเกิดใหม่ที่น่าสนใจอย่างหนึ่งคือ ธุรกิจหรือบริษัทประเภท Buyable Business” ที่เกิดมาโดยมีทิศทางการเติบโตคนละแบบกับ Scalable Business ตรงที่ Scalable Business นั้นมุ่งหวังที่จะโตและ/หรือเข้าตลาดหลักทรัพย์ แต่ Buyable Business นั้นมีลักษณะที่น่าจะสามารถถูก ซื้อ หรือ ควบกิจการ โดยบริษัทอื่นที่ใหญ่กว่าได้อย่างชัดเจน ตัวอย่างที่ชัดเจนสำหรับคนไทยเลยคือ Instagram ที่ถูก Facebook ควบซื้อกิจการไปในราคา 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ แม้ว่าตัวเองจะไม่ได้สามารถสร้างรายได้อะไรทั้งสิ้น

ธุรกิจจำพวกนี้มักจะเป็นธุรกิจ R&D หรือธุรกิจอินเทอร์เน็ตหรือที่เรียกกันว่า tech startup ซึ่งมีโครงสร้างธุรกิจคือการได้รับเงินลงทุนจากนักลงทุนเพื่อมาใช้เวลาในการพัฒนาสินค้าหรือนวัตกรรมมากกว่าเน้นการสร้างธุรกิจ เนื่องจากมีเงินลงทุนหนุนอยู่จนสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องสร้างรายได้ได้เป็นระยะเวลาหลายเดือนหรือปีเลยทีเดียว

  1. Large Business

บริษัทประเภทนี้ค่อนข้างตรงตัวตรงที่มันหมายถึงบริษัทที่ใหญ่แล้ว อยู่ตัวแล้ว ประสบความสำเร็จแล้ว แต่ขณะเดียวกัน บริษัทพวกนี้ ถ้าหยุดชะลอการคิดค้นนวัตกรรมหรือรูปแบบการทำธุรกิจใหม่ๆ หรือพยายามต่อต้านเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่กระทบกับธุรกิจตัวเองนั้น ก็จะเป็นตัวชี้ว่าบริษัท Large Business พวกนี้จะกลายเป็นกลุ่มบริษัทที่จะ Reinvent” ตัวเอง (คิดค้นตัวเองใหม่) เพื่อปรับตัวเข้ากับกาลเวลาได้ หรือจะเป็นพวก Sunsetting Business” ที่จะค่อยๆชะลอการเติบโตและหายไปจากผลกระทบของเทคโนโลยีและบริษัทใหม่ๆที่มาแย่งธุรกิจของตัวเองไปนั่นเอง

ตามที่ผมได้เกริ่นไว้ในตอนต้น จะเห็นได้ว่าการประเมิณ เข้าใจ และรู้ตัวเองว่าธุรกิจของตัวเองเป็นแบบไหนนั้น จะทำให้ตัวเองเข้าใจว่าเราจำต้องบริหารธุรกิจแบบใด จะต้องปรับโครงสร้างธุรกิจแบบไหน และในแต่ละวันเราตื่นมาเพื่อทำอะไร การทำธุรกิจขนาดย่อมไม่ใช่เรื่องผิด ถ้าเรามีความสุขและเป้าหมายอยู่แค่การอยู่ตัว ไม่จำเป็นต้องโตอย่างรวดเร็วหรือมากมายจนไม่มีเวลาในการทำอย่างอื่น ขณะเดียวกัน คนที่รู้ตัวเองว่าชอบธุรกิจที่เติบโตได้เยอะ ก็ไม่ควรที่จะหยุดช้า ผลักดันให้เต็มที่ และบริหารบริษัทให้มีโครงสร้างที่เติบโตได้ มีการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ไวต่อการเปลี่ยนแปลง และหาเงินทุนจากภายนอกเพื่อให้เราโตได้เร็วยิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง นั่นเองครับ

–-

เลอทัด ศุภดิลก

e-mail: lertad@flyingcomma.comwebsite: http://lertad.com

twitter: @lertad

Up next ยังคอยตามหา... คนเราต่างเดินตามหาอะไรสักอย่างในชีวิต เมื่อได้อย่างหนึ่งก็จะอยากได้อีกอย่างหนึ่ง แต่ความต้องการที่ไม่รู้จบนี่ The Ones Who Do ตลอดชีวิตที่ผ่านมา มี Quote อยู่เพียงสองอันที่หลังจากได้ยินแล้วก็ติดอยู่กับตัวเรามาโดยตลอด หนึ่งในนั้นคือโฆษณา The Crazy Ones ของ Apple
Latest posts GDPR คืออะไร และส่งผลกระทบอะไรต่อธุรกิจ “Fintech” คืออะไร? ตอนที่ 1 - M-Pesa ตัวอย่างความสำเร็จของระบบการเงินดิจิตอล The New Disuptive Technologies: 2018 & Beyond การปรับกลยุทธ์ครั้งยิ่งใหญ่ ครั้งใหม่ของ Facebook Startup Tech Trends 2018 - เมื่อเทรนด์ 2017 จะแพร่หลายในปี 2018 “HQ Trivia” - The Future of TV เกมฮิตใหม่ที่อาจเป็นตัวอย่างของรายการทีวีในอนาคต Facebook Ads vs. Google Ads การต่อสู้ระหว่าง “Search” กับ “Discovery” Just Jack - Annabel’s Dilemma Bitcoin คืออะไร และทำไมมันถึงได้รับความสนใจ วิธีเริ่มต้นแบบเล็กๆของเหล่า Startup Unicorn มูลค่าพันล้าน The Fundamentals of AI - Machine Learning, Neural Network, Deep Learning - พื้นฐานแนวคิดของ “AI” ในยุคปัจจุบัน The WeChat Economy - มองเทรนด์ “Tech Startup” อนาคต จากการใช้ “WeChat” ในประเทศจีน การพลิกโฉม ”วิธีการซื้อ″ ด้วยนวัตกรรมจาก Amazon - How Amazon is Re-inventing How We Buy AliPay - เครื่องมือครองโลกของ Jack Ma ที่คุณอาจคาดไม่ถึง - Jack Ma’s Strategy to Conquer the World ทิศทางการเติบโตของ ”ห้างออนไลน์″ ในประเทศไทย - The Future of Marketplaces in Thailand Digital Transformation : จากการบริโภค Product สู่ Service Fast Growing Silicon Valley Startups 2017 - เทรนด์ Startup จาก Silicon Valley ที่จะมาแรงในปี 2017 การปฏิวัติข่าวสารจากยุค Google สู่ Facebook Status Seekers เมื่อผู้บริโภคต้องการ “สถานะ” มากยิ่งกว่า “การแก้ปัญหา” The Different Types of Conversational Commerce Online to Offline 31 The Future of Apps Pirate Metrics for Startups (AARRR) The Rise of Chat Bots E-commerce Delivery in Thailand Conversational Commerce Solar Energy Startups Facebook Thailand Startup = การเติบโตที่รวดเร็ว (Growth) Startup Investment The Future of Messaging