|||

Alternate Reality — Virtual Reality (VR) & Augmented Reality (AR)

เมื่อถึงเทคโนโลยีโลกเสมือนเริ่มใช้ได้ในโลกความเป็นจริง

ใครหลายคนที่ติดตามวงการไอทีหรือภาพยนตร์แนวนวนิยายวิทยาศาสตร์ (Science Fiction) คงจะพอคุ้นกับแนวคิดของการจำลอง ภาพ หรือ ประสบการณ์” ที่มนุษย์เราสามารถสัมผัสหรือมองเห็นได้ เสมือนเราอยู่ในโลกอีกโลกหนึ่ง หรือที่เรียกว่า “Virtual Reality” หรือ VR ซึ่งมักอาศัยอุปกรณ์ที่จะครอบตาเราไปโดยปริยาย เพื่อที่จะนำพาเราออกจากโลกปัจจุบันไปได้ โดยนอกจาก VR แล้วก็ยังมี อีกเทคโนโลยีที่แทนที่จะดึงโลกทั้งโลกเราไปอยู่อีกที่ๆหนึ่ง แต่ใช้วิธีต่อเติมโลกปัจจุบันด้วยภาพกราฟฟิกหรือแบบสามมิติแทนนั้นก็คือ Augmented Reality” หรือ AR นั่นเอง

เทคโนโลยี Virtual Reality และ Augmented Reality นี้ได้เริ่มถูกคิดค้นตั้งแต่ปี คศ.1966 ผ่านอุปกรณ์ที่ชื่อ Sword of Damocles ซึ่งมีลักษณะเป็นหมวกครอบหัวครอบตา และมีการเดินสายเชื่อมอุปกรณ์ไปยังคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ผ่านเสาที่เชื่อมไปกับเพดานด้านบน โดยคนสวมใส่จะสามารถเห็นโลกจำลองผ่านอุปกรณ์ที่สวมอยู่ และสามารถหันซ้ายขวาบนล่างเพื่อเปลี่ยนทิศทางและมุมมองในการชมโลกใบใหม่นี้ได้อีกด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอุปกรณ์สวมใส่เหล่านี้ก็มักจะมีปัญหาทำให้คนสวมเกิดอาการเวียนศรีษะและคลื่นไส้ เนื่องจากความถี่ของภาพที่เราเห็นในอุปกรณ์นั้นไม่เหมือนกับโลกความเป็นจริงที่เราคุ้นเคย ทำให้สมองเกิดอาการเมาและอาเจียนออกมาได้ การนำแนวความคิดของ VR ในปัจจุบันจึงมักจะผ่านเครื่องที่ไม่ได้มีการขยับมากและอาศัยพื้นที่ขนาดใหญ่แทนการครอบตา เช่นเครื่องจำลองการบินที่แสดงท้องฟ้าจำลองบนหน้าจอเพื่อที่นักบินจะได้ฝึกใช้แผงอุปกรณ์ควบคุมเครื่องบินได้คล่องก่อนที่จะลองบินกับเครื่องบินจริง

Macintosh HD:Users:lertad:Dropbox (Flyingcomma):My Briefcase:SM Magazine:Startup Markup:17 - the-sword-of-damocles1-ivan-sutherland.jpg

ในฝั่งของ AR นั้นเราอาจจะเคยเห็นเป็น gimmick” หรือลูกเล่นทางการตลาดอยู่พักหนึ่ง เช่น การนำ AR Code ซึ่งมีลักษณะหน้าตาคล้ายๆ QR Code โดยเป็นกล่องสี่เหลี่ยม มีลายสีขาวๆอยู่ข้างในเพื่อเป็นการส่งสัญญาณและข้อมูลให้กับเครื่องมืออุปกรณ์ที่ใช้ในการอ่าน เช่น แอพพลิเคชันมือถือ หรือแว่นพิเศษ โดย AR Code นั้นจะถูกเตรียมแปะไว้ตามงานแสดงสินค้าหรือแปะไว้บนผลิตภัณฑ์ต่างๆ แล้วให้ผู้บริโภคหรือผู้เล่นโหลดแอพพลิเคชันในมือถือ หรือใส่แว่นพิเศษ เพื่อนำไปส่องกับ AR Code เหล่านั้น เพื่อพบสิ่งประดิษฐ์สามมิติ การ์ตูน หรือ แอนนิเมชันวิ่งไปวิ่งมาในพื้นที่บริเวณ AR Code นั้นๆเปรียบเสมือนเรากำลังส่องเลนส์ไปสู่โลกพิศวงอีกโลกหนึ่ง หรืออาจนำมาใช้ประโยชน์ในการจำลองการออกแบบ ยกตัวอย่างเช่น การนำ AR Code สำหรับแสดงเฟอร์นิเจอร์ขนาดเสมือนจริงไปวางไว้ที่ต่างๆในบ้าน แล้วนำโทรศัพท์มือถือส่องเพื่อดูว่าเฟอร์นิเจอร์ชิ้นนั้นๆเหมาะสมกับบ้านตัวเองหรือไม่

Macintosh HD:Users:lertad:Dropbox (Flyingcomma):My Briefcase:SM Magazine:Startup Markup:17 - AR - Inition.jpg

รูปภาพจาก http://www.dezeen.com

แต่อย่างไรก็ตาม การที่ต้องคอยอาศัยทั้งการอุปกรณ์การอ่าน และการนำ AR Code ไปแปะในที่ต่างๆนั้น ก็เป็นข้อจำกัดที่ทำให้ AR ยังไม่เป็นที่แพร่หลายเท่าที่ควรเช่นกัน

แต่ปัจจุบัน ข้อจำกัดเหล่านั้นเริ่มมีวี่แววว่าจะหมดไป

ไปภายใน 3-5 ปีนี้ก็ได้ เมื่อเหล่า Startup และบริษัทใหญ่ๆอย่าง Microsoft, Facebook หรือแม้กระทั่ง HtC ได้เริ่มทยอยเปิดตัวอุปกรณ์ใหม่ๆที่จะสามารถใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ในการประกอบธุรกิจ ชีวิตประจำวัน รวมไปถึงการเล่นเกม ได้อย่างสมจริงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ภายใต้ราคาที่เข้าถึงได้ แถมบอกว่าพร้อมเปิดตัวให้คนทั่วไปใช้ได้ภายในไม่กี่ปีที่จะถึงนี้แล้วอีกด้วย ซึ่งจะขอยกตัวอย่างเทคโนโลยีบางตัวมาพูดถึงในที่นี้

Google Glass (AR)

Google Glass หรือ smart glasses” ของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Google นั้นอาจเรียกได้ว่าเป็นอุปกรณ์ AR” ตัวแรกที่ทำให้ผู้คนทั่วโลกต่างสงสัยและตื่นตะลึงกับเทคโนโลยีประเภทนี้ในยุคปัจจุบัน เนื่องจากแว่นตา Google นั้นมีขนาดที่ไม่ใหญ่ แต่ผู้ใส่สามารถใช้เพื่อดูแผนที่การเดินทาง บันทึกภาพและวิดีโอ และค้นหาข้อมูลต่างๆบนอินเทอร์เน็ตผ่านระบบการฟังคำพูดและการสัมผัสด้ามแว่นตาได้อย่างทันที

ในงานเปิดตัวของ Google Glass นั้น Sergei Brin ผู้เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งของ Google นั้นได้สาธิตผลิตภัณฑ์ตัวนี้ด้วยการถ่ายทอดสดการกระโดดจากเฮลิคอปเตอร์ผ่าน Google Glass ไปยังหอประชุมใหญ่ของ Google ที่กำลังจัดงานประจำปีของบริษัทให้กับนักพัฒนาและนักข่าวจากทั่วโลกอยู่เป็นจำนวนมาก นับเป็นการประกาศศักดาของบริษัทที่ขึ้นชื่อว่าจ้างคนที่ฉลาดที่สุดในโลกไว้เยอะเป็นอันดับหนึ่งเลยทีเดียว

แต่ทั้งนี้ Google ก็ยังไม่เคยวาง Google Glass ขายอย่างแพร่หลายและแม้จะบอกสื่อว่าทางบริษัทนั้นทุ่มเทกับการพัฒนาและวิจัยตัวผลิตภัณฑ์ Google Glass นี้อย่างมากแล้ว แต่ก็ไม่เคยเรียกมันมากไปกว่าผลิตภัณฑ์ทดลอง โดยหลังจาก Google ได้ทดลองขาย Google Glass ฉบับนักพัฒนาในราคา $1,500 เหรียญเพื่อให้นักพัฒนาได้ลองเอาไปเล่นและพัฒนาโปรแกรมดูแล้วมาตั้งแต่ปีคศ. 2012 นั้นในปีคศ. 2015 ปัจจุบัน ก็ได้ประกาศหยุดขายไปแล้วชั่วคราว แต่ก็ได้ทำการแถลงการณ์ไว้ว่ายังไม่เลิกที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ตัวนี้

Microsoft Hololens (AR)

ในขณะที่บริษัทที่มีภาพลักษณ์เป็นบริษัทของคนยุคใหม่อย่าง Google นั้นได้ชะลอการออกผลิตภัณฑ์ Google Glass เพื่อไปทำการพัฒนาและวิจัยเพิ่มเติมนั้น ทางบริษัทที่เริ่มมีภาพลักษณ์ โบราณ” อย่าง Microsoft กับกลายเป็นผู้ที่ทำให้คนตะลึงด้วยการออกผลิตภัณฑ์ Hololens” มาอย่างไม่มีใครตั้งตัว โดยเป็นอุปกรณ์สวมใส่บนหัวแต่มีลักษณะการทำงานแบบ AR” คือนำแสงมาแสดงเป็นภาพกราฟฟิกบนแว่นตา ให้เราเห็นเป็นเหมือนภาพเหล่านั้นได้ปรากฏจริงอยู่ต่อหน้า โดยไม่จำเป็นต้องใช้ภาพรหัส AR Code ใดๆไปวางที่ไหน แถมยังสามารถอ่านมิติของห้องได้ด้วยตัวมันเองอีกด้วย

Microsoft ได้สาธิตวิธีการใช้ Hololens ไว้อย่างมากมาย ตั้งแต่การออกแบบยานพาหนะสามมิติในคอมพิวเตอร์แล้วนำมันมาขยายเป็นขนาดจริงในโลกความเป็นจริง เพื่อทำการปรับแต่งเพิ่มเติมด้วยมือ การทำ Video Conference กับช่างประปาเพื่อให้ช่างประปาวาดภาพและตัวหนังสือชี้ไปยังจุดต่างๆบนโลกความเป็นจริงได้เลยเพื่อ ให้เราสามารถรู้ว่าจะต้องจับและซ่อมอะไรด้วยตัวเราเองโดยไม่ต้องให้ช่างเดินทางมาหา การเล่นเกมโดยนำปราสาทก่อสร้างจากเกม Minecraft มาตั้งอยู่บนโต๊ะในโลกความเป็นจริง ไปจนถึงการจำลองดาวอังคารเพื่อใช้ในการควบคุมรถ Mars Rover ที่อยู่บนดาวอังคารได้อย่างแม่นยำและเปรียบเสมือนเรากำลังอยู่บนดาวอังคารอยู่ด้วยกันเลยทีเดียว

ทั้งนี้ หัวหน้าโครงการ Hololens ของ Microsoft ก็ไม่ใช่ใครอื่นไปจาก Alex Kipman ผู้คิดค้นและพัฒนา Kinect” อุปกรณ์เซนเซอร์สำหรับเครื่องเล่นเกม ​Xbox ที่สามารถตรวจจับการเคลื่อนไหวของร่ายกายได้โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ควบคุม และกลายเป็นเซ็นเซอร์ที่ถูกใช้ตามงานอีเว้นท์ต่างๆเพื่อสร้างหน้าจอ Interactive ไปอย่างแพร่หลายไปแล้วนั่นเอง

Macintosh HD:Users:lertad:Dropbox (Flyingcomma):My Briefcase:SM Magazine:Startup Markup:17 - microsoft-hololens-skype-rgb-100564143-large.png

Occulust Rift (VR)

หาก Google ได้สะท้านวงการด้วยการเปิดตัว Google Glass” และเทคโนโลยีในลักษณะของ AR แล้ว ทางด้าน Occulus Rift” ก็เป็นผู้สะเทือนวงการ VR” ในปี คศ. 2013 ผ่านการระดมทุนจากคนทางบ้านผ่านเว็บ Kickstarter.com กว่า 2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และช่องทางอื่นๆอีกไปจนถึง 16 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ก่อนที่จะถูกบริษัทยักษ์ใหญ่ทาง Social Network อย่าง Facebook ซื้อไปในมูลค่า 2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯในปี คศ. 2014 ตามๆกันมา

Occulus Rift เรียกได้ว่าเป็นอุปกรณ์สวมใส่ที่ทำให้ผู้ที่ทดลองทุกคนตกตะลึงว่าเหมือนทำให้ตัวเองตกไปอยู่ในอีกมิติในทันที ด้วยเทคโนโลยีมุมมอง 360 องศาที่ทำให้เราสามารถหันไปได้รอบทิศ ภาพความถี่ที่ใกล้เคียงความเป็นจริง และการหมุนตามการขยับของหัวที่ทันที ซึ่งทางบริษัทได้นำเกมต่างๆอย่างเช่นเกมคลาสสิกอย่าง Doom มาให้คนทดลองการใช้งาน และก็ได้เริ่มทยอยออกเวอร์ชันใหม่ๆที่มีเสียงประกอบมาอีกด้วย

ซึ่งนอกจากตัว Occulus Rift นี้จะได้มีการวางจำหน่ายเวอร์ชันนักพัฒนาในราคา $300 เหรียญสหรัฐฯมาตั้งแต่ปีคศ. 2013 แล้ว ทางบริษัทยังประกาศว่าจะวางจำหน่ายเวอร์ชันสำหรับผู้บริโภคทั่วไปภายในปี คศ. 2015 นี้อีกด้วย พร้อมข่าวลือว่าจะมาพร้อมอุปกรณ์ในการควบคุม เพื่อนำไปใช้ในการเล่นเกมและบังคับการเดินทางต่างๆอีกด้วย

HtC Vive (VR)

อย่างไรก็ตาม แม้ Occulus Rift จะเป็นรายแรกที่สร้างเสียงฮือฮาให้กับวงการ VR และวงการเกม แต่ภายในปี คศ. 2015 นี้ กลับมีการเปิดตัวสินค้าจากบริษัทใหญ่อย่างไม่มีใครคาดคิดคล้ายกับตอน Microsoft เปิดตัว Hololens โดยบริษัท HtC ของไต้หวันได้เปิดตัว HtC Vive” ที่ตนได้พัฒนามาควบคู่กับบริษัทเกมชื่อดังอย่าง Valve ผู้ผลิตเกมชุด Halflife” และแอพพลิเคชันที่เป็นทั้ง Social Network และร้านค้าขายเกมอย่าง Steam” มาตลอด

โดยสิ่งที่ทำให้ HtC Vive ได้รับเสียงตอบรับอย่างล้นหลามนั้นก็คือตัวอุปกรณ์ที่ได้นำมาให้คนทดลองนั้น มีความสมบูรณ์ไปยิ่งกว่า Occulus Rift ที่คนรู้จักกันมาหลายปีแล้ว พร้อมทีท่าที่จะพร้อมวางจำหน่ายภายในปลายปีคศ. 2015 เช่นเดียวกัน โดยทาง HtC Vive มีระบบเสียงสามมิติที่สมบูรณ์แบบ การแสดงภาพที่ละเอียดและมีความถี่เหมือนโลกความเป็นจริง ไม่ก่อให้เกิดอาการวนเวียนศรีษะเหมือนกับบางคนที่ลอง Occulus Rift และอุปกรณ์ในการควบคุมที่สมบูรณ์ที่เคลื่อนไหวในโลกจำลองได้เร็วเท่ากับการเคลื่อนไหวในโลกความเป็นจริง

นอกจากนี้ การที่ HtC Vive นี้ได้รับการพัฒนามาควบคู่กับบริษัท Valve ยังมีความสำคัญนอกเหนือจากโอกาสในการเข้าถึงผู้ล่นเกมจำนวนมากอีกอย่างก็คือ การที่ผู้พัฒนา Occulus Rift เองก็มีต้นกำเนิดมาจากบริษัท Valve เหมือนกันแต่โครงการถูกปิดตัวจึงต้องออกมาสร้าง Occulus Rift ด้วยตัวเองนั่นเอง

Macintosh HD:Users:lertad:Dropbox (Flyingcomma):My Briefcase:SM Magazine:Startup Markup:17 - valve - htc.jpg

รูปภาพจาก http://www.entertherift.fr/

เกือบ 50 ปีหลังจากที่เครื่อง Virtual Reality ตัวแรกจะได้ถูกคิดค้นขึ้นมาแล้ว ในที่สุดเทคโนโลยี VR และ AR ก็ใกล้เข้าสู่ยุคที่คนทั่วไปสามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้เสียที โดย VR มีทีท่าว่าจะเหมาะกับการใช้ในการเล่นเกม ดูภาพยนตร์ หรือจำลองการท่องเที่ยวเป็นพิเศษ ในขณะที่ AR เหมือนจะเหมาะสมกับการนำมาใช้ประกอบอาชีพการงานมากกว่า

หลังจากที่สมาร์ทโฟนได้มาปฏิวัติการเข้าถึงและใช้ข้อมูลข่าวสารของเราทุกคนไปแล้ว เราอาจกำลังเข้าสู่คลื่นยุคใหม่ของเทคโนโลยีที่จะมาเปลี่ยนการใช้ชีวิตของเราอีกทีแล้วก็ได้นะครับ

–-

เลอทัด ศุภดิลก

@lertad

lertad@sellsuki.com

Up next Music Streaming Startups ฟังเพลงออนไลน์: เมื่อวงการดนตรีถูกบังคับให้ต้องเปลี่ยน จากต้นกำเนิดของวงการดนตรีที่ทำได้แค่การแสดงสดตามเมืองต่างๆหรือสถานที่จัดการแสดง ทีมซุปเปอร์ฮีโร่ที่ถูกลืม เดี๋ยวนี้ใครๆก็อยากจะรวมทีมกันเป็น The Avengers แน่นอน การที่อยู่ในทีมที่มีแต่คนเก่งๆ ย่อมทำให้รู้สึกว่าอะไรก็สามารถเป็นไปได้
Latest posts GDPR คืออะไร และส่งผลกระทบอะไรต่อธุรกิจ “Fintech” คืออะไร? ตอนที่ 1 - M-Pesa ตัวอย่างความสำเร็จของระบบการเงินดิจิตอล The New Disuptive Technologies: 2018 & Beyond การปรับกลยุทธ์ครั้งยิ่งใหญ่ ครั้งใหม่ของ Facebook Startup Tech Trends 2018 - เมื่อเทรนด์ 2017 จะแพร่หลายในปี 2018 “HQ Trivia” - The Future of TV เกมฮิตใหม่ที่อาจเป็นตัวอย่างของรายการทีวีในอนาคต Facebook Ads vs. Google Ads การต่อสู้ระหว่าง “Search” กับ “Discovery” Just Jack - Annabel’s Dilemma Bitcoin คืออะไร และทำไมมันถึงได้รับความสนใจ วิธีเริ่มต้นแบบเล็กๆของเหล่า Startup Unicorn มูลค่าพันล้าน The Fundamentals of AI - Machine Learning, Neural Network, Deep Learning - พื้นฐานแนวคิดของ “AI” ในยุคปัจจุบัน The WeChat Economy - มองเทรนด์ “Tech Startup” อนาคต จากการใช้ “WeChat” ในประเทศจีน การพลิกโฉม ”วิธีการซื้อ″ ด้วยนวัตกรรมจาก Amazon - How Amazon is Re-inventing How We Buy AliPay - เครื่องมือครองโลกของ Jack Ma ที่คุณอาจคาดไม่ถึง - Jack Ma’s Strategy to Conquer the World ทิศทางการเติบโตของ ”ห้างออนไลน์″ ในประเทศไทย - The Future of Marketplaces in Thailand Digital Transformation : จากการบริโภค Product สู่ Service Fast Growing Silicon Valley Startups 2017 - เทรนด์ Startup จาก Silicon Valley ที่จะมาแรงในปี 2017 การปฏิวัติข่าวสารจากยุค Google สู่ Facebook Status Seekers เมื่อผู้บริโภคต้องการ “สถานะ” มากยิ่งกว่า “การแก้ปัญหา” The Different Types of Conversational Commerce Online to Offline 31 The Future of Apps Pirate Metrics for Startups (AARRR) The Rise of Chat Bots E-commerce Delivery in Thailand Conversational Commerce Solar Energy Startups Facebook Thailand Startup = การเติบโตที่รวดเร็ว (Growth) Startup Investment The Future of Messaging