|||

Music Streaming Startups

ฟังเพลงออนไลน์: เมื่อวงการดนตรีถูกบังคับให้ต้องเปลี่ยน

จากต้นกำเนิดของวงการดนตรีที่ทำได้แค่การแสดงสดตามเมืองต่างๆหรือสถานที่จัดการแสดง มาสู่ยุคของวิทยุที่ทำให้ชิ้นเพลงหนึ่งเพลงสามารถแพร่หลายไปทั่วโลกได้อย่างรวดเร็วจนก่อให้กำเนิดศิลปินระดับโลก มาสู่ยุคของโทรทัศน์ที่ให้กำเนิด มิวสิควิดิโอ” ที่ทำให้การแสดงออกทางภาพและภาพลักษณ์ของศิลปินมีความสำคัญขึ้นมาเทียบเท่ากับเสียงดนตรี มาสู่ยุคของอินเทอร์เน็ต บนคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือที่ทำให้การเสพดนตรีเร็วยิ่งขึ้นและอยู่ในอำนาจของผู้บริโภคมากกว่าผู้จัดจำหน่าย เรียกได้ว่าวงการดนตรีได้เผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่มากมายที่ทำให้พฤติกรรมการเสพดนตรีของผู้บริโภคเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

ในปัจจุบันที่อินเทอร์เน็ตทำให้อะไรๆก็ต้องได้ ทันที (On-Demand) และเปลี่ยนพฤติกรรมการเสพคอนเทนต์ทุกประเภทจากอุปกรณ์อื่นๆอย่างโทรทัศน์ วิทยุ คอมพิวเตอร์ มาเป็นการเสพผ่านโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนไปหมดแล้ว เหล่าผู้ผลิตคอนเทนต์ต่างต้องปรับปรุงโมเดลธุรกิจกันยกใหญ่โดยเฉพาะในวงการเพลงที่เปลี่ยนกันแทบไม่ทันเพราะจากสมัยก่อนที่ต้องเปลี่ยนจากแผ่นไวนิลมาสู่เทปและซีดี มาในยุคที่ผ่านมาที่ต้องทำใจยอมลดรายได้จากแผ่นซีดีที่จับต้องได้และมาเป็นอัลบั้ม มาสู่การขาย “ดาต้า ในรูปแบบของไฟล์ mp3 ที่นอกจากจะต้องแบ่งส่วนแบ่งให้ผู้เล่นรายใหม่อย่าง iTunes” ของ Apple แล้วยังขายได้แค่เพลงซิงเกิ้ลทีละเพลงเท่านั้น

แต่ไม่ทันไร พฤติกรรมผู้บริโภคก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง เมื่อได้เกิด Startup ที่สร้างวิธีการเสพดนตรีใหม่ในรูปแบบ Streaming” หรือพูดง่ายๆก็คือกดปุ๊ปฟังปั๊ป ไม่ต้องดาวน์โหลดลงเครื่องอุปกรณ์ใดๆ แถมทำ Playlist ของตัวเองหรือฟัง Playlist จากคนอื่นก็ได้ คล้ายกับการฟังวิทยุออนไลน์เพียงแต่ไม่ต้องฟังเสียงดีเจหรือโฆษณาคั่นกลางเป็นอย่างใด

ซึ่งโมเดลธุรกิจของบริการเพลง Streaming เหล่านี้ก็คือการเก็บรายเดือนเพียงเดือนละ $10.00 เหรียญสหรัฐ เพื่อที่จะสามารถเข้าถึงแคตตาล็อกเพลงกว่า 20-30 ล้านเพลงที่ทางบริการต่างๆได้ทำการเจรจาทางธุรกิจกับทางค่ายเพลงต่างๆไว้ได้เรียบร้อยแล้ว เรียกได้ว่ามีราคาพอๆกับการควักเงินซื้ออัลบั้มเพลงใหม่ทุกเดือน แต่สามารถฟังเพลงอะไรก็ได้ทั้งใหม่และเก่าได้ในทันที

ผู้ให้บริการ Streaming เพลงอันดับหนึ่งของโลกตอนนี้ได้ Spotify ที่มีผู้ใช้งานอยู่ที่ 60 ล้านคน นับเป็นผู้ใช้งานที่จ่ายตังมากถึง 15 ล้านคนประกาศเมื่อเดือนมกราคม พศ. 2557 ซึ่งเป็นที่น่าสนใจตรงที่ Spotify ไม่ใช่ Startup จากประเทศสหรัฐอเมริกาเหมือนกับ Startup ดังๆจากที่อื่น แต่กลับมีต้นกำเนิดจากประเทศสวีเดนที่อาจไม่ได้มีชื่อเสียงทางด้านการผลิต Tech Startup ยุคใหม่ๆมากนักแต่ก็เป็นประเทศที่คร่ำหวอดในวงการเพลงมานาน

นอกจาก Spotify แล้ว ผู้ให้บริการที่ใหญ่รองลงมานั้นได้แก่ Rdio ที่แม้จะไม่ได้มีการประกาศจำนวนผู้ใช้ภายในช่วงที่ผ่านมา แต่มีข่าวว่ามีผู้ใช้งานที่ชำระเงินอยู่ที่ประมาณ 500,000 คนเมื่อประมาณเดือนพฤษภาคม พศ. 2556 ที่ผ่านมา ส่วนทาง Beats Music ที่เป็นบริการเพลง Streaming ของบริษัทผลิตหูฟัง Beats นั้นมีผู้ใช้งานอยู่ที่ประมาณ 200,000 คนในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ก่อนที่จะถูกบริษัทแอปเปิ้ลซื้อไปและมีข่าวว่าทาง Apple จะทำการรวบรวมเข้ากับ iTunes ของตัวเองที่เป็นร้านค้าสำหรับซื้อขายเพลงออนไลน์และมีบริการวิทยุออนไลน์ชื่อว่า iTunes Radio อยู่แล้ว ซึ่งแข่งขันกับทาง Pandora ผู้เป็นบริษัทให้บริการ Streaming เช่นเดียวกันแต่โฆษณาตัวเองว่าเป็น วิทยุออนไลน์ เพราะไม่เน้นการจัด Playlist หรือเล่นเพลงแบบ On-demand แต่เน้นการจัด Playlist เพลงให้อัตโนมัติตามรสนิยมผู้ใช้ เปรียบเสมือนกับวิทยุออนไลน์นั่นเอง โดยเมื่อปี พศ. 2556 ทาง Pandora มีผู้ใช้อยู่ 250 ล้านคน และหารายได้จากสปอตโฆษณาคล้ายกับวิทยุที่เราฟังกันอยู่ในปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าดูเหมือนผู้ใช้จะได้ทยอยกันเปลี่ยนพฤติกรรมการฟังเพลงไปสู่ระบบ Streaming กันแล้ว แต่กลับมีรายงานข่าวเกี่ยวกับปัญหาทางรายได้และการกระจายรายได้ของบริษัทเหล่านี้อยู่มากมาย เนื่องจากข้อตกลงทางธุรกิจที่บริษัทได้เจรจาไว้นั้นส่วนใหญ่มักจะเอาใจต่ายเพลงเป็นอย่างมาก พร้อมกับมีรายได้ที่ตกไปสู่ศิลปินเป็นจำนวนที่น้อยมาก

ในบางกรณี ค่ายเพลงอาจมีการขอค่าลิขสิทธิ์ในการเข้าถึงแคตตาล็อกเพลงจากผู้ให้บริการเพลงล่วงหน้าถึง $42.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อให้สามารถนำเพลงตัวเองไปให้ผู้ใช้บริการเล่นเป็นเวลาสามปี ซึ่งเมื่อประกอบกับการที่ผู้ให้บริการต่างๆสามารถเก็บรายได้จากค่าโฆษณาที่มีอยู่ในบริการการฟังแบบฟรีอยู่มากถึง 15% ก่อนที่จะทำการแบ่งส่วนที่เหลือกับค่ายเพลงในอัตรา 70 ต่อ 30 เปอร์เซนต์ โดยทางค่ายเพลงจะได้ไป 70% ซึ่งทั้งหมดนี้ มีนัยสำคัญตรงที่ทั้งทางค่ายเพลงและผู้ให้บริการนั้นมักจะทำการแบ่งรายได้ให้กับศิลปินปลายทางในจำนวนน้อยมาก หรือเพียงแค่ประมาณ 15-20% ของรายได้จากโฆษณาต่างๆเท่านั้น ประกอบกับรายได้ทางโฆษณาที่กลับน้อยลงไปทุกที จากอัตรา $0.45 เซนต์ในปี พศ. 2555 ต่อคนสู่ $0.25 ในปี 2557 ทำให้โมเดลธุรกิจของบริการ Streaming เริ่มได้รับการประท้วงมากขึ้นเรื่อยๆ จนในปัจจุบัน ศิลปินไม่สามารถอยู่ได้หากไม่มีการหารายได้ทางอื่นอย่างการแสดงสดอีกต่อไปแล้ว

ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ทางศิลปินเพลงแร็ปชื่อดัง Jay-Z ได้มีการซื้อผู้ให้บริการเพลงที่ชื่อ Tidal และทำการเปิดตัวใหม่ในฐานะผู้ให้บริการเพลงที่มีทั้งคุณภาพเพลงแบบผู้ให้บริการอื่นๆ และคุณภาพเสียงสูงในราคาที่สูงขึ้นกว่าผู้ให้บริการอื่นเท่าตัว โดยได้ทำการเปิดตัวพร้อมกับศิลปินชื่อดังอื่นๆอีกสิบกว่าคนจากเพลงหลากหลายแนว อาทิเช่น Coldpaly, Daft Punk, Jack White, Kanye West, Madonna, และ Nicki Minaj โดยหวังว่า Tidal จะเป็นผู้ให้บริการที่มีการแบ่งรายได้ให้กับศิลปินในอัตราที่สูงกว่าคู่แข่งทั้งหมด หรือทางศิลปิน Taylor Swift ที่เลือกที่จะไม่อนุญาตให้ผู้ให้บริการ Streaming นำเพลงของตนไปใช้เลยทั้งสิ้น เพื่อประท้วงการทำให้เพลงของตนเองดูมีราคาถูก

ซึ่งทั้งหมดนี้ ก็เป็นที่น่าจับตามองว่าธุรกิจเพลง Streaming จะมีอนาคตอย่างไร โดยเฉพาะเมื่อทาง YouTube เองที่อาจจะเป็นผู้ให้บริการเพลงรายใหญ่ที่สุดอย่างแท้จริงก็เริ่มมีบริการ Music Pass เพื่อให้สามารถเข้าถึง Playlist เพลง YouTube ได้โดยปราศจากโฆษณา และทาง Spotify เองก็เริ่มขยับตัวเองเข้าสู่วงการใกล้เคียงด้วยการเปิดตัวให้บริการ Podcast และคลิปวิดีโอสั้นๆ ส่วนทางประเทศไทยเองก็มีทางค่าย dtac มีการจับคู่กับผู้ให้บริการ deezer จากประเทศฝรั่งเศสส่วนฝั่ง AIS ก็จับมือกับ KKBox จากประเทศเกาหลีใต้เพื่อทำการให้บริการเพลง Streaming ในประเทศไทยแล้ว พร้อมกับ Startup ไทยอย่าง Wityu.fm ที่มีวิธีการให้บริการวิทยุออนไลน์และทาง fungjai.com ที่เน้นให้บริการเพลงจากค่ายเพลงอินดี้เป็นหลักอีก

เรียกได้ว่า วงการเพลงจะเป็นอย่างไรต่อไปไม่มีใครรู้หรือกล้าเดาได้แน่ชัด แต่เรากำลังอยู่ในยุคเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่อย่างแน่นอนครับ

–-

เลอทัด ศุภดิลก

@lertad

lertad@sellsuki.com

Up next Social Commerce Startups Alternate Reality — Virtual Reality (VR) & Augmented Reality (AR)
Latest posts GDPR คืออะไร และส่งผลกระทบอะไรต่อธุรกิจ “Fintech” คืออะไร? ตอนที่ 1 - M-Pesa ตัวอย่างความสำเร็จของระบบการเงินดิจิตอล The New Disuptive Technologies: 2018 & Beyond การปรับกลยุทธ์ครั้งยิ่งใหญ่ ครั้งใหม่ของ Facebook Startup Tech Trends 2018 - เมื่อเทรนด์ 2017 จะแพร่หลายในปี 2018 “HQ Trivia” - The Future of TV เกมฮิตใหม่ที่อาจเป็นตัวอย่างของรายการทีวีในอนาคต Facebook Ads vs. Google Ads การต่อสู้ระหว่าง “Search” กับ “Discovery” Just Jack - Annabel’s Dilemma Bitcoin คืออะไร และทำไมมันถึงได้รับความสนใจ วิธีเริ่มต้นแบบเล็กๆของเหล่า Startup Unicorn มูลค่าพันล้าน The Fundamentals of AI - Machine Learning, Neural Network, Deep Learning - พื้นฐานแนวคิดของ “AI” ในยุคปัจจุบัน The WeChat Economy - มองเทรนด์ “Tech Startup” อนาคต จากการใช้ “WeChat” ในประเทศจีน การพลิกโฉม ”วิธีการซื้อ″ ด้วยนวัตกรรมจาก Amazon - How Amazon is Re-inventing How We Buy AliPay - เครื่องมือครองโลกของ Jack Ma ที่คุณอาจคาดไม่ถึง - Jack Ma’s Strategy to Conquer the World ทิศทางการเติบโตของ ”ห้างออนไลน์″ ในประเทศไทย - The Future of Marketplaces in Thailand Digital Transformation : จากการบริโภค Product สู่ Service Fast Growing Silicon Valley Startups 2017 - เทรนด์ Startup จาก Silicon Valley ที่จะมาแรงในปี 2017 การปฏิวัติข่าวสารจากยุค Google สู่ Facebook Status Seekers เมื่อผู้บริโภคต้องการ “สถานะ” มากยิ่งกว่า “การแก้ปัญหา” The Different Types of Conversational Commerce Online to Offline 31 The Future of Apps Pirate Metrics for Startups (AARRR) The Rise of Chat Bots E-commerce Delivery in Thailand Conversational Commerce Solar Energy Startups Facebook Thailand Startup = การเติบโตที่รวดเร็ว (Growth) Startup Investment The Future of Messaging