|||

เมื่อระบบการเดินทางถูกพัฒนาด้วยแอพพลิเคชันมือถือ (Car & Transportation Startups)

คงจะไม่เป็นการพูดเกินจริงหากเราจะเรียกการคิดค้นรถยนตร์และระบบโดยสารทางรถยนตร์ว่าเป็นหนึ่งในวิวัฒนาการที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ระบบสังคมและเศรษฐกิจของมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด จากการที่เราสามารถเดินทางไปหากันได้อย่างรวดเร็วกว่าการเดินเท้าหรือขี้ม้า พร้อมบรรทุกสิ่งของจำเป็นเพื่อทำการแลกเปลี่ยนกันทางเศรษฐกิจ

แต่อย่างไรก็ตาม ระบบที่สำคัญที่สุดสำหรับมนุษย์กับกลายเป็นระบบที่ขาดการใช้งานที่มีประสิทธิภาพที่สุด เมื่อมีรถยนตร์มากมายแต่เรากลับไม่สามารถเดินทางได้สะดวก ทั้งปัญหาจราจร การขาดที่จอดรถ ราคารถยนตร์และน้ำมันที่แพงขึ้นทุกวันจนเริ่มไม่คุ้มที่จะมีรถยนตร์ รวมไปถึงปัญหาภัยมลพิษที่บ่อนทำลายสิ่งแวดล้อมอย่างมหาศาล ในปัจจุบันจึงเกิด Tech Startup ที่พยายามาแก้ปัญหาด้วยการนำรถยนตร์ที่วิ่งอยู่มาใช้ให้มีประสิทธิภาพที่สุด ด้วยการใช้ประโยชน์จากความสามารถในการส่งข้อมูลข่าวสารและการรู้ทำเลที่ตั้งผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในโทรสัพท์สมาร์ทโฟนของเรา เพื่อนำมาใช้ลดปริมาณรถยนตร์ที่ไม่ได้ถูกใช้อยู่อย่างคุ้มค่าที่สุด

Macintosh HD:Users:lertad:Dropbox (Flyingcomma):My Briefcase:S+M Magazine:Startup Markup:7a-uber.jpg

Finding Taxis & Limousine Services

แม้รถยนตร์จะมีอยู่มากมายเต็มท้องถนนกรุงเทพ แต่ก็มีคนอีกหลายเท่าตัวที่ไม่ได้เดินทางโดยรถยนตร์ ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลทางรายได้หรืออายุ และก็ไม่ได้สามารถเดินทางไปไหนต่อไหนด้วยรถไฟฟ้าหรือรถใต้ดินตลอดเวลาเนื่องจากความทั่วถึงที่จะกัด ซึ่งคนเหล่านี้ถ้าไม่อาศัยรถเมล์โดยสารซึ่งแม้จะมีราคาถูกแต่ไม่สามารถคาดการณ์เวลาที่จะได้ขึ้นได้และใช้เวลาในการเดินทางนานเนื่องรวมถึงการที่มันไม่สามารถหยุดและเข้าไปถึงตรอกซอยต่างๆได้นั้น ก็จะต้องอาศัยการโดยสารโดยแท็กซี่เพียงเท่านั้น

แต่แน่นอน เรารับรู้ ปัญหา ของการเรียกแท็กซี่ดีว่าไม่ใช่ง่ายเสมอไป เพราะแท็กซี่หลายคันก็เลือกรับเฉพาะผู้โดยสารที่ไปสถานที่ที่ตนเองรู้จัก หรือในพื้นที่ที่คนเรียกเยอะหรือช่วงฝนตก ก็ยิ่งหาแท็กซี่นั่งไม่ได้เลย ซึ่งปัญหานี้เองที่เหล่านักพัฒนาซอฟท์แวร์มองว่าเกิดจากความไม่สมดุลในเรื่องของการรับรู้ข้อมูลระหว่างแท็กซี่กับผู้ต้องการโดยสาร และผลิตแอพพลิเคชันมือถือขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหานี้

ในภาพรวม วิธีการทำงานของแอพเหล่านี้ก็คือมีแอพนึงสำหรับให้ผู้โดยสารสามารถเรียกแท็กซี่ได้

โดยเมื่อผู้โดยสารทำการเรียกแล้ว ตัวผู้ขับแท็กซี่เองซึ่งต่างคนต่างมีแอพของผู้ขับอยู่ในรถนั้น ก็จะสามารถรู้ได้ว่าผู้โดยสารนั้นอยู่ที่ตรงไหน และต้องการโดยสารไปที่ใด เพื่อใช้ตัดสินใจว่าจะรับหรือไม่รับผู้โดยสารคนนั้น

หากแท็กซี่ทำการเลือกรับผู้โดยสารแล้ว ผู้โดยสารก็จะสามารถเห็นว่ารถที่มารับนั้นทะเบียนอะไรและปัจจุบันอยู่ตรงไหนแล้ว หากสุดท้ายแล้วผู้โดยสารเบี้ยวไม่ยอมขึ้นรถแท็กซี่คันที่เรียก หรือหากรถแท็กซี่บริการได้ไม่ดี ต่างคนก็ต่างที่จะสามารถให้คะแนนและเขียนรีวิวเพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้โดยสารหรือคนขับรายต่อไป

จะเห็นได้ว่าระบบของแอพเรียกแท็กซี่เหล่านี้แก้ปัญหาของทั้งผู้โดยสารและคนขับแท็กซี่ได้ด้วยการนำเสนอข้อมูลให้กันและกันตั้งแต่ยังไม่ได้พบกัน พร้อมกับระบบรีวิวเพื่อรับรองคุณภาพสำหรับอนาคต

สำหรับประเทศไทยเรามีบริการแบบนี้ให้ใช้แล้ว โดยมีเจ้าใหญ่คือทาง GrabTaxi เป็นบริษัทจากประเทศมาเลเซียเปิดให้บริการแล้วในกรุงเทพและ EasyTaxi ที่ดำเนินการโดยทีมงานของ Rocket Internet ผู้ให้บริการเว็บอีคอมเมิร์ซชื่อดังอย่าง Lazada กับ Zalora โดยผู้โดยสารสามารถลองโหลดทั้งสองแอพนี้มาใช้ได้แล้วในตอนนี้ หรือหากเป็นผู้ขับ ก็สามารถทำการโหลดมาใช้รับผู้โดยสารได้แล้วเช่นกัน

นอกจากบริการแท็กซี่แล้ว ยังมีเจ้าใหญ่ของโลกอีกรายคือ Uber ผู้ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกการใช้แอพเรียกรถมาเปิดให้บริการในไทยแล้วเช่นกัน โดย Uber แตกต่างจาก GrabTaxi กับ EasyTaxi ตรงที่แอพสองแอพนั้นเป็นเครื่องมือให้คนขับแท็กซี่ปัจจุบันใช้ แต่ทาง Uber นั้นเป็นเหมือนผู้ให้บริการเองโดยมีบริการรถหรูเท่านั้น และจะให้บริการที่แพงกว่าทางแท็กซี่อย่างชัดเจน จึงเหมือนเป็นการเปิดตลาดใหม่จับกลุ่มคนพรีเมียมโดยเฉพาะ

เหตุผลที่ Uber เกิดขึ้นมาได้นั้น เป็นเพราะในเมืองใหญ่ที่สหรัฐอเมริกานั้นมีการจำกัดปริมาณใบอนุญาติขับขี่แท็กซี่ แต่เมืองเหล่านั้นก็ยังมีปัญหาเรื่องการเรียกแท็กซี่เหมือนบ้านเรา ทาง Uber จึงเลี่ยงปัญหาด้วยการบอกว่าตนเองไม่ใช่แท็กซี่ แต่เป็นเจ้าของรถยนตร์ซึ่งมีแอพที่ทำให้คนสามารถมาร่วมโดยสารได้อย่างสะดวกกว่าการโบกแท็กซี่เสียอีก โดยคิดค่าบริการแพงกว่าแท็กซี่ปกติแค่เพียง 15-30% (แต่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นอาจแพงกว่าเกือบเท่าตัว เนื่องจากโครงสร้างราคาแท็กซี่ที่แตกต่างกัน)

ทั้งนี้ ทาง Uber เองก็มีแอพที่ให้บริการเหมือนเหล่า GrabTaxi และ EasyTaxi โดยใช้นามว่า UberTaxi แต่ทว่าตอนนี้ยังเปิดบริการอยู่แค่ในประเทศออสเตรเลีย เหมือนกับที่ทาง GrabTaxi เองก็มีการให้บริการเรียกรถระดับพรีเมียมชื่อว่า GrabCar ที่ยังให้บริการอยู่แค่ในประเทศมาเลเซีย

Sharing Cars

อย่างไรก็ตาม ความด้อยประสิทธิภาพของระบบรถยนตร์นั้นไม่ได้มีอยู่แค่การเรียกยานพาหนะมารับส่ง แต่ส่วนใหญ่แล้วอยู่ที่ตัวรถยนตร์ที่เราทุกคนมีอยู่ที่บ้านอยู่แล้วเนี่ยแหละ

รถยนตร์ไม่ได้มีราคาถูก โดยเฉลี่ยรถยนตร์ขนาดเล็กในไทยนั้นราคาก็เริ่มต้นที่ประมาณห้าหกแสนแล้ว บวกค่าน้ำมันอีกสัปดาห์ละพันกว่าบาท พร้อมค่า พรบ. ประกันภัย ค่าที่จอดรถ และซ่อมแซมต่างๆอีกปีละหลายพัน รวมกันแล้วอาจแพงเกินกว่าคนที่มีรายได้ต่ำจะมาผ่อนจ่ายไหว

แต่ทั้งๆที่ซื้อมาแพงขนาดนั้น เวลาส่วนใหญ่ของรถยนตร์ส่วนใหญ่นั้นกลับไม่ได้ถูกใช้ แต่จะถูกจอดไว้เฉยๆที่ใดที่หนึ่งวันๆหนึ่งกว่า 20 ชั่วโมง

คงจะดีไม่น้อยถ้าเราสามารถเอาเวลาที่รถอยู่เฉยๆมาใช้ประโยชน์หรือหารายได้ใช่ไหมครับ

บริษัท Tech Startup ก็คิดเช่นั้นเหมือนกัน จึงเกิดการพัฒนาธุรกิจ Car Sharing” โดยมีบริษัทที่เริ่มบุกเบิกคือ ZipCar ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยปัจจุบันบริษัทนี้ได้ถูกบริษัทผู้ให้บริการเช่ารถรายใหญ่อย่าง Avis ควบกิจการไปแล้ว โดย ZipCar เริ่มต้นบุกเบิกตลาดนี้ด้วยการทำตัวเป็นผู้ให้บริการเช่ารถยนตร์เอง แต่ตัดระบบศูนย์บริการออกจากระบบการเช่าด้วยการตั้งสถานีให้เช่ารถอยู่ทั่วเมืองทั่วประเทศตามลานจอดรถและที่จอดรถพิเศษข้างทางต่างๆที่ใครก็ต่างจอดรถกัน โดยหากผู้ต้องการใช้รถนั้นเห็นรถ ZipCar จอดอยู่ เขาก็สามารถที่จะนำการ์ดพิเศษที่ทาง ZipCar ออกให้ไปทาบกับกระจกรถยนตร์เพื่อให้เครื่องข้างในเห็นและทำการปลดล็อครถยนตร์ เพียงเท่านี้ผู้ขับก็สามารถไปสถานที่ใดๆที่ตนเองต้องการก็ได้ โดยเมื่อเวลาการเช่าหมด ก็สามารถนำรถขับไปจอดไว้ที่เดิมได้เลย

แต่ในขณะที่ ZipCar ให้บริการเช่ารถยนตร์ที่ตนเองเป็นเจ้าของ ปัจจุบันมีบริการใหม่ RelayRides กับ GetAround ที่เปิดให้ ใครๆก็ได้ สามารถนำรถยนตร์ที่ตนเองมีเปิดให้คนอื่น “ร่วมใช้ โดยนำรูปภาพรถยนตร์และตำแหน่งที่ตั้งของตนเองประกาศบนเว็บ เสร็จแล้วผู้สนใจเช่าก็จะเข้ามาติดต่อขอเช่า และทางผู้ให้เช่าก็จำนำเอารถไปส่ง หรือในบางกรณี อาจเป็นการหาผู้ร่วมเดินทางไปด้วยกัน ซึ่งเรียกได้ว่า ทาง RelayRides กับ GetAround นั้นเป็นเหมือน ตลาด แทนที่จะเป็น เจ้าของรถ ให้บริการเสียเอง โดยปัจจุบันทาง RelayRides ได้ทำการเซ็นสัญญากับบริษัทผู้ผลิตรถยนตร์หลายๆรายเพื่อนำรถยนตร์รุ่นที่มีระบบปลดล๊อคไร้กุญแจมาทำให้ผู้เช่าทำการขับรถได้โดยเจ้าของไม่ต้องนำกุญแจไขไปให้ที่ตัวได้เลย

และในที่สุดก็มาถึงจุดร่วมของระบบเช่ารถและระบบเรียกรถให้บริการ เมื่อเกิดบริษัท Lyft” ที่เป็นการทำให้ใครๆก็สามารถกลายมาเป็น คนขับแท็กซี่ ได้ผ่านแอพเพียงแอพเดียว ซึ่งหมายความว่า หากใครมีรถและมีเวลาว่าง ก็สามารถนำมาใช้ทำมาหากินด้วยการโหลดแอพและประกาศตนเป็นผู้ขับรถ และเมื่อมีผู้โดยสารประกาศหารถผ่านแอพตัวนี้ในบริเวณที่ใกล้เคียง ต่างฝ่ายก็ต่างสามารถเลือกกันและกันเพื่อใช้บริการผู้ขับรถขับนำพาไปส่งยังที่หมายได้อย่างง่ายดาย โดย Lyft กำลังเป็นที่โด่งดังอย่างมากเพราะมีวัฒนธรรมองค์กรและแบรนด์ที่ขี้เล่น โดยบริษัทจะทำการแจก หนวดชมพู ฟูๆให้ไปติดไว้ที่หน้ารถเพื่อแสดงตนว่าเป็นรถขับ Lyft” ซึ่งคนขับก็จะมีทั้งคนหารายได้เสริม คนขับหาเลี้ยงชีพประจำ และคนว่างๆอยากพูดคุยกับผู้คน

ปัจจุบัน Lyft ได้รับความนิยมอย่างมากและมากินตลาดที่ใหญ่กว่า Uber ซึ่งก็คือตลาดมหาชน ต่างจาก Uber ที่เน้นกลุ่มพรีเมียม จน Uber ต้องออกแอพ Uber X” เพื่อมาแข่งกับ Lyft โดยตรง

Others & Beyond

นอกจากเทรนด์เรื่องของการนำซอฟท์แวร์และแอพพลิเคชันมือถือมาใช้ในการใช้อรรถประโยชน์ของรถยนตร์ให้เต็มที่และการเรียกรถให้บริการอย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ในประเทศไทยเองยังมีบริการชื่อว่า U Drink I Drive” ที่ให้บริการขับรถนำส่งผู้โดยสารที่ดื่มแอลกอฮอล์เกินระดับที่กฎหมายกำหนดไว้ เพื่อให้คนที่เมาสุรามีรถกลับบ้านอย่างปลอดภัย สามารถทิ้งรถตัวเองไว้ที่บ้านหรือที่จอดรถได้ โดยรถยนตร์ที่ให้บริการนี้จะเป็นรถลิมูซีนขับโดยคนขับที่ถูกอบรมมาพร้อมให้บริการผู้โดยสารกลุ่มเป้าหมายโดยเฉพาะ

แต่นอกจากเรื่องสนุกๆอย่างนี้แล้วยังมีเทรนด์ใหม่ที่น่าจับตามองสองอย่างคือ รถพลังงานไฟฟ้า” และ รถขับเคลื่อนด้วยตนเองอัตโนมัติ

ยุคปัจจุบันเป็นยุคที่รถพลังงานไฟฟ้าได้กลายเป็นจริงแล้ว โดยมีรถต้นแบบคือรถของบริษัท “Tesla Motors” ผู้ซึ่งตั้งชื่อบริษัทตามบิดาของระบบพลังงานไฟฟ้า แต่ก่อตั้งโดย Elon Musk” ผู้ก่อตั้ง PayPal ระบบชำระเงินออนไลน์ใหญ่สุดของโลก และ SpaceX” บริษัทผลิตยานอวกาศภาคเอกชนรายแรกที่ได้รับการอนุมัติจาก NASA ให้ออกสู่อวกาศจริง และได้ทำการบินออกนอกโลกไปแล้วเมื่อปี คศ. 2013

หลังจากที่ Tesla ทำการออกรถตัวแรกภายใต้นาม Tesla Roadster” ออกมาในรูปแบบของรถหรูของเล่นคนรวยเพื่อทดลองตลาดแล้ว ปัจจุบันได้ทำการตลาดรุ่น Tesla Model S” ซึ่งเป็นรถที่ถูกลงมาแต่แม้จะยังมีราคาอยู่ระดับนักธุรกิจอยู่ แต่ก็ถือว่าเป็นการเปิดให้ผู้คนทั่วไปสามารถจับจองใช้ได้โดยสมบูรณ์ โดยปัจจุบัน Model S ขายดีจนผลิตไม่ทัน ได้รับการประเมิณจากผู้ประเมิณความปลอดภัยของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาให้เป็นรถยนตร์ที่ปลอดภัยที่สุดที่เคยถูกสร้างมา เพราะตัวรถเองไม่มีเครื่องยนตร์ด้านหน้า จึงไม่เสี่ยงต่อภัยระเบิด และเหมือนมีกันชนที่หนาขึ้นหลายเท่าตัวมาแทนที่ โดยในแง่การขับนั้น รถยนตร์มีอัตราเร่งที่เทียบเท่ารถแข่งระดับ Porsche แต่เร่งได้โดยไม่มีเสียงดัง และขับได้อย่างนุ่ม พร้อมแอพพลิเคชันแผนที่และการควบคุมต่างๆด้วยหน้าจอที่เหมือนแท็บเบล็ทอยู่ที่ตรงคอนโซลรถยนตร์

เรียกได้ว่าในขณะที่ผู้ผลิตรถยนตร์รายใหญ่ๆของโลกยังติดปัญหาเรื่องกฏหมาย โมเดลธุรกิจ และความสามารถ จนผลิตได้แต่รถยนตร์ Hybrid นั้น ได้มีบริษัทเกิดใหม่เข้ามาแซงในเรื่องการผลิตรถยนตร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเรียบร้อยแล้วโดยสมบูรณ์

เมื่อรถเราฉลาดขึ้น เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ข้อเสียข้อสุดท้ายของรถยนตร์ก็อาจจะได้รับการแก้ไขเร็วกว่าที่คิดเช่นกัน… ซึ่งข้อนั้นก็คือ คนขับ” นั่นเอง

เป็นข้อเท็จจริงที่อุบัติเหตุในท้องถนนกว่า 90% นั้นมาจากความผิดพลาดของตัวคนขับเอง อาจเกิดจากทั้งความประมาท หรือความเหนื่อยล้า จนบริษัทเจ้าพ่อตรรกะคอมพิวเตอร์อย่าง Google ได้ทำการทดลองประดิษฐ์รถที่สามารถที่ขับด้วยคอมพิวเตอร์ หรือเรียกตรงตัวว่า “รถขับด้วยตัวเอง”(Self-driving cars) ได้อย่างเรียบร้อยแล้ว ด้วยการติดเซ็นเซอร์และคอมพิวเตอร์เข้าไปในตัวรถยนตร์ ให้สามารถรู้เส้นทางจาก Google Maps และตำแหน่ง GPS พร้อมใช้เซ็นเซอร์ทราบถึงสิ่งของรอบตัว ซึ่งปัจจุบัน รถยนตร์ขับด้วยตนเองนั้นไม่ใช่ความฝัน แต่ได้ถูกใช้ทดลองขับอยู่แล้วในเมืองซาน ฟรานซิสโก โดยจะขับไปเรื่อยๆรอบเมือง แต่มีพนักงานนั่งอยู่ตรงที่คนขับเพื่อยึดระบบคืนจากคอมพิวเตอร์หากมีข้อผิดพลาดใดๆ

ความฝันของรถยนตร์ที่ขับด้วยตนเองนี้ นอกจากจะแค่ทำให้เราสบายไม่ต้องขับรถแล้ว เหล่านักอุดมการณ์ยังมีวิสัยทัศน์ว่าต่อไปในอนาคต เราจะไม่ต้องซื้อรถเป็นของตนเองแล้ว เพราะสามารถตื่นขึ้นมา ใช้แอพพลิเคชีนเรียกรถยนตร์ที่ขับด้วยตนเองที่ใกล้ที่สุดมารับ ขึ้นนั่ง ไปถึงที่หมาย แล้วปล่อยให้รถยนตร์ขับไปรับคนต่อไปได้ทันที

จะเห็นได้ว่าในปัจจุบัน วงการรถยนตร์มีการเปลี่ยนแปลงมากมาย และมักจะมาจากฝั่ง Tech Startups มากกว่าฝั่งบริษัทผลิตรถยนตร์ยักษ์ใหญ่เสียด้วย จนได้รับการกล่าวขานว่าเป็นยุคที่รถยนตร์ได้รับการพัฒนานวัตกรรมเยอะที่สุดนับตั้งแต่นาย Kark Benz คิดค้นรถยนตร์และนาย Henry Ford คิดค้นระบบการผลิตรถยนตร์ขึ้นมา

จริงๆแล้วเรื่องของแท็กซี่และรถยนตร์ไม่ใช่เรื่องไกลตัวสำหรับประเทศไทยที่มีรถแท็กซี่จำนวนมากและเป็นฐานการผลิตชิ้นส่วนรถยนตร์ที่สำคัญ อยู่ที่ว่าคนไทยกล้าที่จะคิดและกล้าที่จะทำ Tech Startup ให้ประเทศไทยเชิดหน้าชูตาในวงการได้อย่างเขาบ้างแล้วหรือไม่

–-

เลอทัด ศุภดิลก

e-mail: lertad@sellsuki.com

website: http://lertad.com

twitter: @lertad

Up next e-Sports Startups เมื่อการเล่นเกม กลายเป็น การเล่นกีฬา (e-Sports Startups) “การเล่นเกม” สมัยนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนครับ มันไม่ใช่แค่กิจกรรมทำยามว่าง ทำไม Apple จึงซื้อ Beats by Dr. Dre Apple ประกาศแล้วอย่างเป็นทางการว่าจะซื้อแบรนด์หูฟัง “Beats” ในมูลค่า $3 Billion USD
Latest posts GDPR คืออะไร และส่งผลกระทบอะไรต่อธุรกิจ “Fintech” คืออะไร? ตอนที่ 1 - M-Pesa ตัวอย่างความสำเร็จของระบบการเงินดิจิตอล The New Disuptive Technologies: 2018 & Beyond การปรับกลยุทธ์ครั้งยิ่งใหญ่ ครั้งใหม่ของ Facebook Startup Tech Trends 2018 - เมื่อเทรนด์ 2017 จะแพร่หลายในปี 2018 “HQ Trivia” - The Future of TV เกมฮิตใหม่ที่อาจเป็นตัวอย่างของรายการทีวีในอนาคต Facebook Ads vs. Google Ads การต่อสู้ระหว่าง “Search” กับ “Discovery” Just Jack - Annabel’s Dilemma Bitcoin คืออะไร และทำไมมันถึงได้รับความสนใจ วิธีเริ่มต้นแบบเล็กๆของเหล่า Startup Unicorn มูลค่าพันล้าน The Fundamentals of AI - Machine Learning, Neural Network, Deep Learning - พื้นฐานแนวคิดของ “AI” ในยุคปัจจุบัน The WeChat Economy - มองเทรนด์ “Tech Startup” อนาคต จากการใช้ “WeChat” ในประเทศจีน การพลิกโฉม ”วิธีการซื้อ″ ด้วยนวัตกรรมจาก Amazon - How Amazon is Re-inventing How We Buy AliPay - เครื่องมือครองโลกของ Jack Ma ที่คุณอาจคาดไม่ถึง - Jack Ma’s Strategy to Conquer the World ทิศทางการเติบโตของ ”ห้างออนไลน์″ ในประเทศไทย - The Future of Marketplaces in Thailand Digital Transformation : จากการบริโภค Product สู่ Service Fast Growing Silicon Valley Startups 2017 - เทรนด์ Startup จาก Silicon Valley ที่จะมาแรงในปี 2017 การปฏิวัติข่าวสารจากยุค Google สู่ Facebook Status Seekers เมื่อผู้บริโภคต้องการ “สถานะ” มากยิ่งกว่า “การแก้ปัญหา” The Different Types of Conversational Commerce Online to Offline 31 The Future of Apps Pirate Metrics for Startups (AARRR) The Rise of Chat Bots E-commerce Delivery in Thailand Conversational Commerce Solar Energy Startups Facebook Thailand Startup = การเติบโตที่รวดเร็ว (Growth) Startup Investment The Future of Messaging