[dropcap]ค[/dropcap]งจะได้อ่านข่าวกันไปบ้างแล้ว กับการที่ Facebook ทุ่มเงิน $19 Billion USD หรือกว่า 6 แสนล้านบาท เพื่อซื้อแอพแชท “WhatsApp” ที่เคยดังอยู่ในประเทศไทยอยู่ช่วงหนึ่งในสมัยที่คนยังใช้ Blackberry และ iPhone ในปริมาณที่พอๆกัน ก่อนที่ LINE จะทำการแย่งชิงตลาดไปด้วยฟังก์ชัน Sticker อันเป็นที่นิยม
การซื้อครั้งนี้ฮือฮาพอสมควร โดยมีสองคำถามใหญ่คือ “ทำไมต้อง WhatsApp” และ “Facebook เห็นอะไรใน Chat”?
คำถามที่ว่า “ทำไมต้อง WhatsApp” คงดังพิเศษสำหรับคนไทยที่เปลี่ยนมานิยม LINE แล้ว และคงมอง WhatsApp เองว่าเป็น “ของเก่า” ที่ “ไม่มีใครใช้” แล้ว
ตอนที่ได้ไปเยี่ยมเพื่อนที่ทำงานที่ WhatsApp ที่สหรัฐอเมริกาเขาบอกว่าเรื่องหนึ่งที่ตลกดีสำหรับชีวิตเขาคือ WhatsApp ไม่ใช่แอพที่ฮิตในประเทศเขา ออฟฟิศเขาไม่ค่อยใหญ่ ประมาณหนึ่งชั้นแต่ก็ไม่น่าเกิน 200 ตรม. ตกแต่งธรรมดาๆ ไม่ได้กวนๆเหมือนชื่อแอพที่น่าจะล้อมาจากคำว่า “What’s Up?”
ตัวตึกที่เช่าอยู่ก็ราวกับเป็นตึกของบริษัทอื่นเพราะมีป้ายของบริษัท Speck ติดอยู่ใหญ่ๆบนตึกแต่ไม่มีชื่อของ WhatsApp ส่วนตัวบริษัทเองก็ไม่ค่อยได้ทำพีอาร์ ยิ่งพอมันไม่ดังในอเมริกา สื่อใหญ่ๆที่เราอ่านกันที่ล้วนแล้วแต่ตั้งอยู่ในอเมริกาก็เลยไม่ค่อยพูดถึง และยิ่งดีไซน์ของแอพไม่ได้ Sexy มาก ดังนั้นเวลาไปไหน คุยกับใคร คนก็ไม่ค่อยสนใจไปจนถึงไม่รู้จักเลยเหมือนกัน
แต่วันนี้ที่ข่าวออกว่า Facebook ซื้อ WhatsApp แล้วในมูลค่า $19 Billion USD เห็นชัดว่าแม้ตลาดแชทจะเป็นตลาดที่ “fragment” มาก มีเจ้าใหญ่หลายราย แต่หากนับจากจำนวนผู้ใช้ (User) แล้ว WhatsApp ก็มีเยอะอันดับหนึ่งโดยประมาณ 420 ล้านคน และเป็นอันดับหนึ่งในตลาดที่ทั้งใหญ่และสำคัญอย่างอเมริกาใต้และยุโรปเสียด้วย
Data ไม่เคยโกหกเรา
แต่ทั้งนี้ก็ยังไม่สามารถเรียกได้ว่า WhatsApp แพ้ศึกแต่ชนะสงคราม เพราะ WeChat ยักษ์ใหญ่จากจีนก็มีผู้ใช้อยู่ประมาณ 300 ล้านคนและค่อยๆพยายามเจาะตลาดยุโรปและสหรัฐอเมริกาแต่ยังไม่สำเร็จมากนัก ส่วน LINE เองก็กำลังโตเร็วมากโดยมีอยู่ที่ประมาณ 350 ล้านคน โดยเรียงมีผู้ใช้ทั้งในประเทศญี่ปุ่น ตามด้วย ไต้หวัน ไทย อินโดนีเซีย สเปน อินเดีย เม็กซิโก และเกาหลีใต้ จนอาจเรียกได้ว่า ในขณะที่ WhatsApp แพร่กระจายมาจากทางตะวันตก ทาง WeChat เองกำลังโต้กลับไปจากจีน ส่วนทาง LINE นั้นตีจากตะวันออกอ้อมมาทางใต้
แล้วทำไมถึงต้องแชท?
คำตอบนี้จริงๆแล้วมีสองส่วนง่ายๆครับ คือ
1) “Mobile คืออนาคต”
ตามที่ Steve Jobs ได้นิยามไว้ว่าทุกวันนี้เราได้อยู่ในโลกของ “Post-PC World” หรือ “โลกหลังคอมพิวเตอร์” จะพบได้ว่าในปัจจุบันเราได้ทำการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือในปริมาณที่มากกว่าการเชื่อมต่อผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ไปเสียแล้ว
จากที่เคยมีคนสบประมาทว่า Facebook จะเจ๊งเมื่อโลกเปลี่ยนมาใช้โทรศัพท์มือถือเพราะ แต่ทางบริษัทเองกลับสามารถปรับตัวได้อย่างดี โดย Facebook เองเคยเปิดเผยตัวเลขว่าในบรรดา Monthly Active User (MAU) หรือ “ผู้ใช้รายเดือน” กว่า 1.2 พันล้านคนของเขานั้น ใช้ Facebook ผ่านมือถือกันกว่า 900 ล้านคนเลยทีเดียว และที่สำคัญคือ ในปัจจุบัน Facebook ได้มีรายได้ทางโฆษณาผ่านโทรศัพท์มือถือในอัตราส่วนที่มากกว่าโฆษณาบนคอมพิวเตอร์ไปเสียแล้ว (53% ต่อ 47%)
แต่ในเมื่อ Facebook มีรายได้ดีขนาดนี้แล้ว… ทำไมถึงยังต้องซื้อ WhatsApp?
2) “ใครๆก็แชท”
หากโลกดิจิตอลเป็นการทำให้การใช้ชีวิตประจำวันเราสะดวกขึ้น สำหรับมนุษย์ที่เป็นสัตว์สังคม การแชท มันก็คือการคุย การสื่อสารพูดคุยสำคัญยิ่งกว่าการแบ่งปัน การดูวิดีโอ หรือการถ่ายรูป
การคุยเป็นเรื่องเข้าใจง่าย และการแชทก็เหมือนกับการส่งอีเมลล์หรือส่งจดหมายที่คนทุกคนเข้าใจกันดีอยู่แล้ว ยิ่งกว่าการแชร์รูปภาพหรืออัพเดทสเตตัส ดังนั้นในเมื่อการแชทได้ย้ายจากการส่ง SMS มาอยู่ที่แอพต่างๆโดยสมบูรณ์แล้ว ทำให้อัตราการโตของแอพ WhatsApp ในช่วงระยะเวลาเดียวกันนั้นพุ่งสูงกว่าแอพดังๆอย่าง Facebook Gmail Twitter หรือ Skype เกินเท่าตัว
ในโลกของ Startup การมีจำนวน User นั้นเป็นเรื่องใหญ่ในระดับที่หลายๆบริษัทเลือกที่จะ “หา User ก่อนหารายได้” เหมือนกับที่ Facebook เองที่ไม่ได้มีแหล่งรายได้ชัดเจนในตอนแรก และพึ่งจะเปิดช่องทางโฆษณาในภายหลัง (ไม่ต่างอะไรไปจาก Google มากนัก)
เหตุผลที่เป็นเช่นนี้นั้น เพราะการมีผู้ใช้มันก็เสมือนกับการที่ห้างมีคนเดิน ขอให้มีคนเดิน ยังไงก็หาทางหารายได้จากเขาได้อยู่แล้ว
ยกตัวอย่างเช่น LINE ที่ใครหลายคนคงจะเห็นว่ามีรายได้ก้อนใหญ่มาจากการขาย Sticker แต่มันก็เป็นเพียงรายได้แค่ประมาณ 25% ของเขา เพราะ LINE มีรายได้ก้อนใหญ่อีกกว่า 50% มาจากการการซื้อของต่างๆในเกมที่ LINE ทำการโปรโมทผ่านแอพตัวเอง จนล่าสุด LINE ได้ครองตำแหน่งแอพที่ได้รายได้จาก App Store เยอะสุดในปีคศ. 2013 ไปแล้ว
ทาง WeChat เองก็มีทั้งฟังก์ชันอ่านข่าว การใช้จ่ายเงิน (digital wallet) หรือแม้กระทั่งการเปิดร้านขายของ และอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งในวงการจะเรียกว่าแอพสองตัวนี้มองตัวเองเป็น “Platform” มากกว่าแค่ “แอพแชท” หรือแม้กระทั่งแค่ “Social Network” ธรรมดาๆ
กลับมามองที่ WhatsApp ที่ยังไม่ได้มีการหารายได้อย่างมากนัก ก็จะเห็นว่ามีโอกาศอยู่มหาศาลเหมือนครับ
การที่ Facebook ซื้อ WhatsApp ครั้งนี้จึงเหมือนกับตอนซื้อ Instagram ในแง่ว่าเป็นทั้งการกำจัดคู่แข่งในอนาคต และการได้ผู้ใช้จำนวนมากมาในทีเดียว เพราะอย่างตัว Facebook Messenger เอง เจอทั้งปัญหาว่าคนไม่ค่อยรู้ว่ามีเป็นแอพอยู่ในโลก แถมถูกมองว่าต้องใช้ Facebook Account ในการ Log In และต้อง Add เพื่อนใน Facebook ก่อนเพื่อที่จะคุยกันได้นั้น จึงน่าจับตามองว่าจะมีการรวมตัวกับ WhatsApp หรือจะแยกกันอย่างที่มาร์ค ซัคเกอร์เบิร์กพูดในวันนี้ต่อไปนานแค่ไหน
ที่น่าสนใจกว่านั้น WhatsApp เคยประกาศจุดยืนชัดเจนว่าเขาอยากเป็นแค่ Messaging App ไม่ได้ต้องการเป็น Platform เหมือน LINE หรือ WeChat และตอนนี้มีรายได้ช่องทางเดียวคือการเก็บค่าใช้ App ในบางประเทศและบางกรณี น่าสนใจว่าเป็นเพราะเขารู้อยู่แล้วว่าจะเล่นเกมให้ตัวเองถูกซื้อรึเปล่า และน่าสนใจว่าต่อไปนี้จะโตไปในทิศทางใด มีจุดยืนเดิมหรือไม่ และจะโดนแชทอื่นตีหรือไม่ในอนาคต โดยเฉพาะเมื่อตัว Founder เองเคยประกาศอย่างชัดเจนว่าเขาเกลียด “โฆษณา”
ศึกครั้งนี้ยังอีกยาวไกล สำหรับผมที่สนใจเกี่ยวกับการแชทเป็นพิเศษ ลองคิดและติดตามแล้วสนุกมากครับ
คอลัมน์นี้ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร S+M Magazine ฉบับ มีนาคม พศ. 2557 ภายใต้คอลัมน์ “STARTUP MARKUP”