|||

8 Outsourcing and Offshoring

จากที่สมัยก่อนมีการถกเถียงกันอย่างมากในเรื่องของการมีบริษัทยักษ์ใหญ่ต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย ทำให้เกิดการไหลเวียนของเงินทองไปยังต่างประเทศ แทนที่จะยังหมุนเวียนอยู่ในประเทศ มาจนทุกวันนี้ เหมือนเป็นเรื่องที่ยอมรับกันแล้วว่าความเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากโลกาภิวัฒน์เช่นนี้นั้น มันมีทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ มันเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และเราควรที่จะต้องเรียนรู้ที่จะอยู่และได้ประโยชน์จากมันเสียมากกว่า

หากเรามองว่าจุดมุ่งหมายของบริษัททุกบริษัทนั้นเป็นเรื่องของการหากำไรจากการเพิ่มรายได้และการลดรายจ่ายแล้วนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่การที่โลกมุ่งตามกระแสโลกาภิวัฒน์อย่างรวดเร็วอย่างทุกวันนี้นั้น ทำให้เกิดปรากฏการณ์ใหญ่ในการบริหารธุรกิจที่เรียกกันว่าการ Outsource” (หรือ Outsourcing)

ในปัจจุบันเวลาเราพูดถึงการ Outsourcing นั้น เรามักจะนึกถึงภาพบริษัททางตะวันตกทำการจ้างบริษัททางตะวันออกอย่างบริษัทในประเทศเราเพื่อทำหน้าที่ในการผลิต ซึ่งเป็นการลดค่าใช้จ่ายของบริษัทผู้ว่าจ้างในขณะที่เป็นรายได้ที่ดีสำหรับบริษัทผู้รับจ้าง

อย่างไรก็ตาม แท้จริงแล้วการ Outsourcing นั้นไม่ได้จำกัดถถึงเรื่องของภูมิศาสตร์หรือประเภทงานแต่อย่างใด

เพราะแท้จริงแล้วการ Outsourcing หมายถึงการที่บริษัทใดบริษัทหนึ่งจ้างบริษัทข้างนอกเพื่อมาทำหน้าที่แทนบริษัทผู้ว่าจ้าง หรือพูดเป็นภาษาง่ายๆว่าการจ้างคนอื่นมาทำงานแทนเรา โดยทำการจ้างเป็นลักษณะสัญญาว่าจ้างเป็นระยะเวลา ดังนั้นการ Outsource จึงอาจจะเป็นการจ้างบริษัทข้างบ้านเรามาช่วยในงานของบริษัทของเราเองก็เป็นได้

เรามักจะคิดว่าบริษัทจะทำการ Outsource ก็ต่อเมื่อต้องการลดต้นทุน แต่แท้จริงแล้วก็ยังมีอีกเหตุผลหลักก็คือเป็นเรื่องของทักษะความสามารถ (skills and expertise) หรือกล่าวคือ บริษัทเล็งเห็นว่าบริษัทอื่นสามารถผลิตงานได้ดีกว่าเรา โดยเฉพาะหากบริษัทอื่นนั้นสามารถทำได้ในราคาที่ถูกกว่าเราทำเอง ในระยะเวลาที่เร็วกว่า และได้ผลงานที่ดีกว่า เรายิ่งมักทำการ Outsource ให้มากขึ้น

ดังนั้นเมื่อมองเช่นนี้แล้ว ทุกประเภทงานจึงสามารถสำเร็จได้โดยการจัดจ้างคนภายนอกมาทำ ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบ การบริการลูกค้า การทำบัญชี หรืออย่าง การจ้างบริษัททำความสะอาดในการให้บริการพนักงานทำความสะอาดมาประจำที่บริษัทเรา เป็นต้น และจริงๆแล้ว สิ่งที่เรียกว่า OEM (Original Equipment Manufacturer) หรือการผลิตสินค้าภายใต้แบรนด์สินค้าต่างชาติ ซึ่งเป็นรายได้หลักของ SME หลายแห่งในประเทศไทย โดยเฉพาะในหมวดหมู่ประเภทเครื่องสำอางก์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และเสื้อผ้านั้น แท้จริงแล้วก็คือการที่เราถูกบริษัทผู้ว่าจ้าง Outsource เรามานั่นเอง

เหตุผลที่บริษัทเหล่านั้น Outsource บริษัทในประเทศเราในการผลิตสินค้า อาจทำให้บางคนแปลกใจว่าทำไมเขาจึงวางใจที่จะให้สินค้าถูกผลิตโดยบริษัทอื่น แต่หากลองมองกันในเชิงของความสามารถในการแข่งขัน จะเห็นได้ว่างาน OEM ที่ผลิตไปนั้น แท้จริงแล้วสามารถสับเปลี่ยนผู้ผลิตได้ไม่ยาก เพราะสูตรเด็ดที่ทำให้สินค้าขายได้นั้นไม่ใช่คุณภาพของการผลิตสินค้า แต่เป็นเรื่องอื่นๆเช่นแบรนด์ การทำการตลาด ฐานลูกค้า สูตรในการผลิต ความสามารถในการออกแบบ เป็นต้น

หรือพูดง่ายๆก็คือ บริษัทที่ Outsource อย่างชาญฉลาดนั้น จะทำการ Outsource เฉพาะงานประเภทที่เขาไม่คิดว่าจะเป็นสิ่งที่เสริมความสามารถในการแข่งขันหลักๆของเขา (core competencies) จนกลายเป็นเรื่องน่าสนใจว่าบริษัทชื่อดังด้านเสื้อผ้าอย่าง Zara นั้น ไม่ได้ผลิตเสื้อผ้าเอง แต่ใช้วิธีการ outsource ผู้ถักทอจากหลายแห่งให้ผลิตตามดีไซน์ที่เขาก็จ้างต่อมาอีกที หรือบริษัทเทคโนโลยีชื่อดังอย่าง Apple ที่ขึ้นชื่อเรื่องสินค้าที่เนี้ยบ ทันสมัย และน่าใช้ แท้จริงแล้วเขากลับเป็นเพียงผู้ออกแบบ มิใช่ผู้ผลิตเองแต่อย่างใด และมิใช่บริษัทต่างประเทศเท่านั้น แต่บริษัทอย่างเจริญโภคภัณฑ์ก็ทำการ Outsource ในบางส่วน เช่น ไข่ไก่ ที่ใช้วิธีทำสัญญากับฟาร์มไก่ทั่วประเทศ เป็นต้น

คำอีกคำที่ในปัจจุบันเรามักจะพบที่มีควาหมายคล้ายคลึงกับคำว่า Outsourcing” นั้นก็คือ “Offshoring” จากที่กล่าวไว้ว่า Outsourcing นั้นไม่ได้จำกัดในเรื่องของภูมิศาสตร์ทั้งๆที่ในหลายๆครั้งเวลาเราพูดถึงการ Outsource นั้น เราจะนึกถึงภาพของบริษัทต่างประเทศที่ทำการจ้างบริษัทในประเทศที่ด้อยพัฒนากว่ามนการทำงาน จึงเกิดศัพท์ใหม่ขึ้นมาเพื่อใช้ในการสื่อสารงานประเภทนี้ ซึ่งก็คือ Offshoring” ที่มาจากคำว่า “Offshore” หรือแปลตรงๆว่า ไม่ได้อยู่บนชายฝั่ง(ของตัวเอง)”

ในโลกปัจจุบันที่มีคนจบการศึกษาจำนวนมากในประเทศที่ด้อยพัฒนากว่าประเทศมหาอำนาจ เช่น ประเทศอินเดีย หรือประเทศจีน ที่ในแต่ละปีสามารถผลิตนักศึกษาปริญญาตรีระดับเกียรตินิยมได้มากกว่าจำนวนนักศึกษาปริญญาตรีที่ประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องการศึกษาอย่างสหรัฐอเมริกาสามารถผลิตได้ทั้งหมด ทำให้เกิดการว่าจ้างงานในประเทศต่างๆทั่วโลกมากขึ้น เนื่องจากค่าแรงที่ถูกกว่า เพราะค่าครองชีพที่ต่ำกว่าในประเทศเหล่านั้น ในปัจจุบันนอกจากอินเดียที่ขึ้นชื่อเรื่องการรับการทำงาน outsource ทุกประเภท หรือประเทศจีนที่ขึ้นชื่อเรื่องการผลิต เราจะเห็นประเทศอย่าง Israel, Belarus, และ Slovenia ที่กำลังขึ้นชื่อเรื่องวิศวกรรม โดยเฉพาะในเรื่องของซอฟท์แวร์

แน่นอนว่าการ Outsourcing หรือ Offshoring คงจะไม่ได้มีแต่ข้อดีเสมอไป เพราะการ Outsource ย่อมมีค่าใช้จ่ายแอบแฝงอยู่ อย่างเช่นความลำบากในการจัดการผู้รับการว่าจ้าง และการพลาดโอกาสในการเรียนรู้ เนื่องจากบริษัทเราไม่ได้เป็นผู้ทำงานชิ้นนั้นเอง จึงจะขาดประสบการณ์ที่อาจเกิดขึ้นจากการทำงานส่วนนั้นไป

ดังนั้น เราควรจะคิดให้ดีว่าบริษัทควรจะ Outsource เรื่องใด และเรื่องใดที่ควรจะทำเอง โดยเฉพาะบริษัทใหม่ๆ ที่กำลังโต เนื่องจากบางครั้งต่อให้ถ้าบริษัทเราทำได้ไม่ดีหรือยังขาดความเชี่ยวชาญ แต่การยอมลงทุนในการเรียนรู้และการลองผิดลองถูกก็อาจจะทำให้สิ่งนั้นกลายเป็นความสามารถในการแข่งขันของเราในอนาคต หรือเรื่องบางเรื่องอย่างเช่นการบริการลูกค้า เช่น ระบบ Call Center นั้น หลายบริษัทอาจไม่อยากทำด้วยตัวเองเพราะเป็นเรื่องยาก ซับซ้อน และมีบริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านนอกอยู่มากแล้ว แต่แท้จริงมันอาจเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่บริษัทเราจะเรียนรู้จากลูกค้าของบริษัทได้โดยตรงด้วยซ้ำ

กลับมามองในแง่ของการเป็นบริษัทรับ Outsource ในระยะยาวแล้ว การทำงานอะไรที่ใครๆก็สามารถทำได้ อย่างเช่นรับบันทึกบัญชี รับบันทึกข้อมูลนั้น ถึงแม้ว่าอาจจะเป็นรายได้ที่เราพอใจ แต่ในแง่ของการเติบโตนั้น หากเราไม่เสริมสร้างอะไรที่ทำให้เราแตกต่างจากคนทั่วไปนั้น ย่อมมีความเสี่ยงที่เราจะถูกเลิกว่าจ้างได้ในอนาคตจากการมีคู่แข่งที่ยอมทำงานของเราในราคาที่ถูกกว่า โดยส่วนตัวแล้วคิดว่าบริษัทประเภทนี้จะสร้างความแตกต่างได้ ไม่ใช่ด้วยการสร้างแบรนด์ แต่เป็นการคอยหาทักษะที่มีความเฉพาะมากขึ้นเรื่อย (niche) หรือความเชี่ยวชาญในลักษณะที่หามิได้ทั่วไป รวมไปถึงบริการเสริมอื่นๆที่จะทำให้บริษัทผู้ว่าจ้างพอใจกับเรา และมองค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยน (switching cost) สูงขึ้น เช่น ความเข้าใจในสไตลล์การทำงานของผู้ว่าจ้าง การทำงานตรงต่อเวลา เป็นต้น

สำหรับคอลัมน์ของเดือนนี้ ผมลองแทรกคำศัพท์ต่างๆนอกเหนือจากหัวข้อหลักเข้าไปมากขึ้น ชอบหรือไม่ชอบก็สามารถบอกกันได้ครับ เพื่อที่จะให้เนื้อหาในส่วนนี้พัฒนาต่อไปเรื่อยๆได้เช่นกัน

เลอทัด ศุภดิลก

twitter: @lertad

e-mail: Lertad@gmail.com

Up next Innovation to Iteration 7 Innovation to Iteration ทุกวันนี้ ผมคิดว่าคงจะไม่มีใครที่ไม่เคยได้ยินคำว่า “Innovation” หรือ “นวัตกรรม” ใช่มั้ยครับ 8 Group Buying, Daily Deals, and Social Commerce หลักการที่ว่าการซื้อเป็นจำนวนมากนั้นย่อมควรที่จะได้ราคาต่อหน่วยต่ำกว่าการซื้อเป็นจำนวนน้อยนั้น เป็นที่รู้จัก ยอมรับ และคาดหวังสำหรับคนทั่วไป
Latest posts GDPR คืออะไร และส่งผลกระทบอะไรต่อธุรกิจ “Fintech” คืออะไร? ตอนที่ 1 - M-Pesa ตัวอย่างความสำเร็จของระบบการเงินดิจิตอล The New Disuptive Technologies: 2018 & Beyond การปรับกลยุทธ์ครั้งยิ่งใหญ่ ครั้งใหม่ของ Facebook Startup Tech Trends 2018 - เมื่อเทรนด์ 2017 จะแพร่หลายในปี 2018 “HQ Trivia” - The Future of TV เกมฮิตใหม่ที่อาจเป็นตัวอย่างของรายการทีวีในอนาคต Facebook Ads vs. Google Ads การต่อสู้ระหว่าง “Search” กับ “Discovery” Just Jack - Annabel’s Dilemma Bitcoin คืออะไร และทำไมมันถึงได้รับความสนใจ วิธีเริ่มต้นแบบเล็กๆของเหล่า Startup Unicorn มูลค่าพันล้าน The Fundamentals of AI - Machine Learning, Neural Network, Deep Learning - พื้นฐานแนวคิดของ “AI” ในยุคปัจจุบัน The WeChat Economy - มองเทรนด์ “Tech Startup” อนาคต จากการใช้ “WeChat” ในประเทศจีน การพลิกโฉม ”วิธีการซื้อ″ ด้วยนวัตกรรมจาก Amazon - How Amazon is Re-inventing How We Buy AliPay - เครื่องมือครองโลกของ Jack Ma ที่คุณอาจคาดไม่ถึง - Jack Ma’s Strategy to Conquer the World ทิศทางการเติบโตของ ”ห้างออนไลน์″ ในประเทศไทย - The Future of Marketplaces in Thailand Digital Transformation : จากการบริโภค Product สู่ Service Fast Growing Silicon Valley Startups 2017 - เทรนด์ Startup จาก Silicon Valley ที่จะมาแรงในปี 2017 การปฏิวัติข่าวสารจากยุค Google สู่ Facebook Status Seekers เมื่อผู้บริโภคต้องการ “สถานะ” มากยิ่งกว่า “การแก้ปัญหา” The Different Types of Conversational Commerce Online to Offline 31 The Future of Apps Pirate Metrics for Startups (AARRR) The Rise of Chat Bots E-commerce Delivery in Thailand Conversational Commerce Solar Energy Startups Facebook Thailand Startup = การเติบโตที่รวดเร็ว (Growth) Startup Investment The Future of Messaging