|||

Business Continuity Management

ในช่วงเวลาที่ประเทศไทยประสบปัญหาอุทกภัยอย่างทุกวันนี้ บริษัทที่มีการเตรียมตัวพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์ ทั้งในแง่ของการรักษาสินทรัพย์ของบริษัท และการปฏิบัติงานของพนักงานนั้น ย่อมได้เปรียบในการดำเนินงานและความรู้สึกของพนักงานบริษัทเอง ส่วนบริษัทที่นิ่งนอนใจหรือไม่เคยมีการเตรียมแผนการรับรองนั้น คงจะถึงเวลาที่จะต้องตระหนักถึงความสำคัญว่าการวางแผนการดำเนินธุรกิจในช่วงอุบัติเหตุนั้น เป็นหนึ่งในองค์ประกอบของการจัดการองค์กรที่สำคัญ

ทั้งนี้ การเตรียมแผนการดำเนินงานในยามฉุกเฉินนั้นมีศัพท์เทคนิกที่เรียกรวมๆกันว่า Business Continuity Management (BCM) ซึ่งมักจะถูกนำไปเรียกอย่างสั้นๆว่า Business Continuity ทำให้เกิดการสับสนกันกับ Business Continuity Plan หรือไม่ก็นำไปเรียกสลับกันกับ Disaster Recovery Plan ที่หมายถึงเฉพาะการกู้ข้อมูลหรือกู้ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากอุบัติภัยเท่านั้น จึงเป็นเพียงแขนงวิชาแขนงหนึ่งภายใต้ร่มของ Business Continuity Management

จะเห็นได้ว่า Business Continuity Management นั้นแท้จริงแล้วเป็นหมวดวิชาที่มีเนื้อหาวิชาเยอะไม่แพ้กับเรื่องการจัดการที่กำลังมาแรงอย่าง Knowledge Management หรือ Risk Management ที่กำลังได้รับการจัดตั้งเป็นภาคการศึกษาในมหาวิทยาลัยกันเลยทีเดียว ผมจึงไม่ขอพยายามอธิบายมันอย่างละเอียด แต่จะพยายามหยิบคำหรือแนวความคิดหลักๆซึ่งมักจะมีชื่อคล้ายๆกันแต่แท้จริงแล้วหมายถึงสิ่งที่ต่างกันมาอธิบายให้ท่านผู้อ่านได้สามารถแยกแยะและทำความเข้าใจเวลาท่านศึกษาเนื้อหาเหล่านี้แทนแล้วกันครับ

แนวความคิดและกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับ BCM นั้นมักจะชวนให้สับสนเนื่องจากมันเป็นการรวมตัวกันของกระบวนการจากหลายๆแผนกและแขนงวิชา โดยเฉพาะจากเรื่องของ Emergency Management หรือ การจัดการในภาวะฉุกเฉิน, Information Technology Disaster Recovery (DR หรือ ITDR) หรือ การกู้ข้อมูลและโปรแกรมจากผลกระทบจากอุบัติภัยของฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ, และ Operational Risk Management หรือ การบริหารความเสี่ยงในการดำเนินงาน

ในสมัยก่อนที่การดำเนินงานในบริษัทยังไม่ซับซ้อนมากนักและยังไม่มีการใช้ระบบคอมพิวเตอร์หรือเทคโนโลยีสารสนเทศในการทำงานอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน การรับมือกับสถานการณ์ภาวะฉุกเฉินจึงเรียกกันอย่างกว้างๆว่า Emergency Management Plan (EMP) ที่ว่ากันด้วยเรื่องของการอพยพพนักงาน การปกป้องขนย้ายสินทรัพย์มีค่า การติดตั้งอุปกรณ์เตือนภัยอย่างเครื่องตรวจควัน การติดตั้งอุปกรณ์ที่สามารถช่วยรักษาหรือป้องกันภัยอย่างเครื่องดับไฟ และกระบวนการต่างๆในการประสานงานกับหน่วยงานรัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง จะเห็นได้ว่า มาตรการของรัฐอย่างเช่นการตรวจมาตรฐานผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในอสังหาริมทรัพย์อย่าง EIA (Environmental Impact Assessment) ที่ว่าด้วยการออกแบบโครงสร้างและการติดตั้งอุปกรณ์ให้ปลอดภัยต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อมนั้นก็มาจากเรื่องพื้นฐานของความปลอดภัยของชีวิตนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม เมื่อในปัจจุบันบริษัทต่างๆได้มีความจำเป็นในการที่จะต้องพึ่งระบบคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ทมากขึ้น โดยเฉพาะบริษัทสาขาเทคโนโลยีสารสนเทศ การเงิน หรือบริษัทโทรคมนาคม เป็นต้น บริษัทเหล่านี้ประสบปัญหาในการดำเนินงานจากอุบัติภัย และความไม่แน่นอนของโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยี (Infrastructure) โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยีใหม่ๆเหล่านี้พึ่งเกิด ที่ระบบเครือข่ายหรือตัวคอมพิวเตอร์เองนั้นสามารถล่มได้ทุกเมื่อ บริษัทเหล่านี้จึงได้คิดค้นมาตรการในการรักษาสภาวะการทำงานและการกู้ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการล่มของระบบเทคโนโลยี โดยเฉพาะในเรื่องของการกู้ข้อมูล จึงเกิดเป็นกระบวนการหรือมาตรการที่เรียกว่า Disaster Recovery Plan (DRP) ที่แปลตรงตัวว่าการกู้ภัยจากอุบัติภัย และเป็นกระบวนการที่มักจะพบกันมากที่สุดในบริษัทเอกชนในปัจจุบัน โดยต่อมาก็มักจะได้ถูกนำไปรวมกับการสร้างระบบความปลอดภัยทางข้อมูลและการ้ปองกันภัยจากการโจรกรรมทางคอมพิวเตอร์ จนกลายเป็นสาขาวิชาที่เรียกกันว่า IT Security

อย่างไรก็ตาม แม้ DRP จะช่วยให้มีระบบการทำงานอย่างต่อเนื่อง ทั้งในแง่ข้อมูลและเครื่องมือการทำงาน แต่มันก็จะไม่มีค่าอะไรหากบริษัทไม่มีทรัพยากรมนุษย์และกระบวนการการทำงานที่จะใช้มัน จึงก่อเกิดเป็นกระบวนการหรือมาตรการที่เรียกว่า Business Continuity Plan (BCP) หรือที่แปลตรงตัวว่า แผนการทำให้ธุรกิจสามารถดำเนินการต่อเนื่องไปได้ เช่น การวางแผนว่าในสถานการณ์ที่ระบบการทำงานใดมีการติดขัด อาจจะเป็นด้วยระบบเทคโนโลยีที่ไม่สามารถใช้การได้ หรือระบบ Supply Chain ที่แปรเปลียนไปจากปกติ จะต้องมีมาตรการสำรองในการทำงานแบบใด เช่นจากที่เคยใช้เครื่องออกใบเสร็จอัตโนมัติ จะต้องเปลี่ยนมาใช้มือในการเขียนใบหรือไม่ ต้องออกใบกี่ใบ เป็นต้น รวมไปถึงการวิเคราะห์ว่าพนักงานและแผนกการทำงานใดเป็นทรัพยากรที่บริษัทจะขาดไม่ได้ในการดำเนินงาน เพื่อให้สามารถอำนวยความสะดวกให้กับทรัพยากรเหล่านี้ให้สามารถทำงานได้แม้ในภาวะคับขัน เช่น การหาที่พักในสถานที่ปลอดภัยและการบำรุงค่าชดเชยพิเศษให้กับพนักงานที่เป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินงานเพื่อชดเชยกับความลำบากในการที่เขาต้องมาทำงานในยามอุทกภัย เป็นต้น

ทั้งนี้ ด้วยหลักการแล้ว Business Continuity Plan จึงเกิดมาเพื่อดูแลในเรื่องของคนและกระบวนการทางธุรกิจ จึงไม่ได้มาทดแทน Disaster Recovery Plan แต่จะถูกใช้ไปพร้อมๆกัน ในขณะที่กำลังกู้ข้อมูลและเตรียมระบ พนักงานก็จะทำงานตามที่เคยเตรียมการและวางแผนไว้ หลังจากที่มีการใช้ Emergency Management เพื่อหลีกภัย ป้องกัน และรักษาผลกระทบที่เกิดจากอุบัติภัยไปเรียบร้อยแล้ว

ในปัจจุบัน หลายๆบริษัทที่ผ่านประสบการณ์การใช้แผนเหล่านี้นั้นได้เริ่มเล็งเห็นว่า หลังจากที่ใช้แผน EMP เพื่อดูแลความปลอดภัยทางกายภาพเสร็จแล้ว บริษัทก็จะเข้าสู่ช่วงของการฟื้นคืนชีพด้วย BCP และ DRP ทันที ซึ่งอาจจะมองได้ว่าเป็นการข้ามขั้นกระบวนการในการวิเคราะห์สถานการณ์ การสื่อสาร การประสานงาน และการตัดสินใจต่างๆที่สำคัญอันเป็นปัจจัยพื้นฐานทางการจัดการที่ดี รวมไปถึงการตัดสินใจว่าจะใช้แผนแต่ละแผนเมื่อไหร่ด้วย ปัจจุบันจึงเริ่มเกิดแผนการใหม่ที่จะมาครอบคลุมแผนการทั้งหมด คือ Crisis Management Plan (CMP) เพื่อเป็นแผนการในการประสานงานระหว่างแผนสามแผนที่กล่าวมาทั้งหมด อย่างเช่นในสถานการณ์ที่เกิดอุบัติเหตุหรืออุบัติภัยที่ไม่ได้สร้างผลกระทบทางกายภาพ การดำเนินงานตาม CMP ก็จะช่วยให้ตัดสินใจไม่จำเป็นต้องใช้ EMP เพราะไม่จำเป็นและอาจก่อให้เกิดการตื่นตระหนกเกินความจำเป็น

แผนการทั้งหมดนี้มักจะถูกเรียกอย่างกว้างๆว่า Business Continuity Management (BCM) บริษัทที่มีความพร้อมจึงควรที่จะมีการวางแผน EMP, DRP, BCP และ CMP โดยบางที่อาจจะมีอีกหนึ่งแผนที่เรียกว่า Business Resumption Plan เข้าไปด้วยซ้ำ อันเป็นการวางแผนการเตรียมการกลับมาสู่สภาวะการดำเนินงานปกติ อย่างเช่นว่าต้องประสานงานติดต่อใครบ้าง ต้องมีการตรวจสอบระบบอะไรบ้างเป็นต้น และที่สำคัญ คอควรจะต้องมีการฝึกซ้อมใช้แผนเหล่านี้ปีละครั้ง เพื่อให้เกิดความชำนาญและการปรับปรุงแผนการดำเนินงานหากจำเป็น

จะเห็นได้ว่า หากเราไม่มีความเข้าใจมาก่อน แผนแต่ละอย่างนั้นยากที่จะทราบได้ว่าแต่ละแผนหมายถึงอะไร และมีความแตกต่างหรือเกี่ยวข้องกันอย่างไร หลายๆท่านจึงมักจะใช้แต่ละคำเรียกการจัดการกับอุบัติภัยอย่างสลับไปมา ซึ่งนอกจากจะก่อให้เกิดความสับสนแล้ว ยังทำให้ขาดการเตรียมแผนและการดำเนนิงานที่ถูกต้องอีกด้วย อย่างเช่นหากบริษัทใดบริษัทหนึ่ง มองเรื่องของ BCP และ BCM เป็นเรื่องเดียวกัน บริษัทนั้นก็อาจจะมีการเตรียมการเฉพาะเรื่องของการกลับมาทำงานของพนักงาน เป็นต้น ประเด็นเรื่องนี้จึงไม่ใช่แค่เป็นเพียงเรื่องการภาษาศาสตร์ แต่ส่งผลต่อการดำเนินงานของธุรกิจในภาพรวมอีกด้วย โดยเฉพากับเรื่องของการทำงานเมื่อประสบอุบัติภัยซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนักจึงมีความเป็นไปได้ที่จะก่อให้เกิดความประมาทเลินเล่อสูง

ในช่วงที่ประเทศประสบอุทกภัยอย่างทุกวันนี้ การดูแลสุขภาพและความเป็นอยู๋ของครอบครัวน่าจะเป็นเรื่องที่สำคัญสุด แต่เมื่อสถานการณ์เลวร้ายที่สุดเริ่มผ่านไป การกลับมาทำงานก็เป็นเรื่องสำคัญยิ่งที่จะทำเศรษฐกิจกลับมาฟื้นฟูและทำให้ชีวิตของเราทุกคนกลับมาสู่สภาวะปกติ ในช่วงที่ประสบปัญหาหนักอย่างนี้ ท่านคงจะยิ่งเห็นได้ว่าความสามารถในการจัดการและความสามารถในการสื่อสารที่ดีและมีประสิทธิภาพนั้นสำคัญขนาดไหน หวังว่าสิ่งที่ได้อธิบายไปในภาพรวมในวันนี้ จะสามารถช่วยให้ผู้อ่านได้สามารถนำไปใช้ให้เกิดการจัดการที่ยกระดับยิ่งขึ้นไปได้ไม่มากก็น้อยครับ

–-

เลอทัด ศุภดิลก

e-mail: lertad@flyingcomma.com

twitter: @lertad

Up next Strategy vs Tactics Strategy vs. Tactics กลยุทธ์ vs. ยุทธวิธี น้อยคนคงจะปฏิเสธความจริงที่ว่า กลยุทธ์ คือสิ่งที่จะนำธุรกิจเราไปสู่ความสำเร็จ Ad Copy 15 Business & Marketing Terms Update เริ่มต้นปีใหม่กันครั้งนี้ ผมขอใช้โอกาสนี้ในการรวบรวมคำศัพท์ jargon หลายๆคำที่ฮิตๆ ทั้งทางการตลาด
Latest posts GDPR คืออะไร และส่งผลกระทบอะไรต่อธุรกิจ “Fintech” คืออะไร? ตอนที่ 1 - M-Pesa ตัวอย่างความสำเร็จของระบบการเงินดิจิตอล The New Disuptive Technologies: 2018 & Beyond การปรับกลยุทธ์ครั้งยิ่งใหญ่ ครั้งใหม่ของ Facebook Startup Tech Trends 2018 - เมื่อเทรนด์ 2017 จะแพร่หลายในปี 2018 “HQ Trivia” - The Future of TV เกมฮิตใหม่ที่อาจเป็นตัวอย่างของรายการทีวีในอนาคต Facebook Ads vs. Google Ads การต่อสู้ระหว่าง “Search” กับ “Discovery” Just Jack - Annabel’s Dilemma Bitcoin คืออะไร และทำไมมันถึงได้รับความสนใจ วิธีเริ่มต้นแบบเล็กๆของเหล่า Startup Unicorn มูลค่าพันล้าน The Fundamentals of AI - Machine Learning, Neural Network, Deep Learning - พื้นฐานแนวคิดของ “AI” ในยุคปัจจุบัน The WeChat Economy - มองเทรนด์ “Tech Startup” อนาคต จากการใช้ “WeChat” ในประเทศจีน การพลิกโฉม ”วิธีการซื้อ″ ด้วยนวัตกรรมจาก Amazon - How Amazon is Re-inventing How We Buy AliPay - เครื่องมือครองโลกของ Jack Ma ที่คุณอาจคาดไม่ถึง - Jack Ma’s Strategy to Conquer the World ทิศทางการเติบโตของ ”ห้างออนไลน์″ ในประเทศไทย - The Future of Marketplaces in Thailand Digital Transformation : จากการบริโภค Product สู่ Service Fast Growing Silicon Valley Startups 2017 - เทรนด์ Startup จาก Silicon Valley ที่จะมาแรงในปี 2017 การปฏิวัติข่าวสารจากยุค Google สู่ Facebook Status Seekers เมื่อผู้บริโภคต้องการ “สถานะ” มากยิ่งกว่า “การแก้ปัญหา” The Different Types of Conversational Commerce Online to Offline 31 The Future of Apps Pirate Metrics for Startups (AARRR) The Rise of Chat Bots E-commerce Delivery in Thailand Conversational Commerce Solar Energy Startups Facebook Thailand Startup = การเติบโตที่รวดเร็ว (Growth) Startup Investment The Future of Messaging